


บท 1
ยามเช้าตรู่
น้ำค้างยังไม่แห้ง
หยดน้ำใสระยิบไหลเลื่อนตามเส้นใบ ในป่าราวกับมีฝนละอองพร่างพรม
ชุนจิ่งนั่งโคลงเคลงอยู่บนหลังม้า ม้าเป็นม้าดี ขนสีแดงเจิดจ้า ส่วนคนก็งดงาม คำกล่าวที่ว่าตระกูลจิ้งจอกมีแต่คนงามนั้นมิใช่เรื่องเหลวไหล
เขาถือกระบอกเหล้าไว้ในมือ หรี่ตาครึ่งหนึ่ง โคลงตัวเบาๆ ตามจังหวะกล้ามเนื้อของม้า ดูสบายอารมณ์ยิ่ง เหล้าในกระบอกเต็มเปี่ยม แม้ม้าจะเดินอย่างมั่นคง แต่ก็ยังมีเหล้ากระเซ็นออกมาจากปากกระบอก หยดลงบนเสื้อคลุมยาวสีฟ้าอมเขียวของชุนจิ่ง แต่เขาไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้ติดเหล้า เพียงแค่อยากเมา
บางครั้ง การเมาก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งจริงๆ
เมื่อเขาเดินออกจากป่าทึบนั้น แสงสว่างจ้าส่องลงมาจากเบื้องบน เขาสูดลมหายใจลึก ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลียวมองกลับไป ในป่าเหมือนมีหมอกขาวลอยขึ้น พร่าเลือนราวกับดินแดนเซียน
เขานึกถึงคำกำชับของพี่สาวก่อนออกเดินทาง นางกล่าวว่า "ไม่ว่าเจ้าจะหาเขาเจอหรือไม่ ก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัย! ห้ามก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ยั่วยุสร้างความวุ่นวาย ข้าได้ฝากฝังเจ้าหน้าที่ตามจุดพักม้าไว้แล้ว พวกเขาคงไม่กล้าดูแคลนองค์ชายใหญ่ของพวกเรา นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ถึงแต่ละจุด เจ้าต้องส่งนกเขียวมารายงานข้าด้วย ให้ข้ารู้ความเป็นไปของเจ้า อย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง"
เขาจำคำสัญญาของตนได้ดี เขาทุบอกพลางกล่าวว่า "วางใจเถิดพี่! ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว!"
แต่ตอนนี้เขากลับเบี่ยงออกจากเส้นทางที่กำหนดไว้โดยสิ้นเชิง
นึกถึงตรงนี้ ชุนจิ่งก็เงยหน้าขึ้น หรี่ตาพลางยิ้ม แสงอาทิตย์ทาบลงบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ ขนอ่อนสีขาวเปล่งประกายทองยามต้องแสง รอยยิ้มที่มุมปากของเขาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขาโยนกระบอกเหล้าทิ้งไปข้างหลัง บีบขาเข้าหาท้องม้า ควบไปใต้แสงอาทิตย์ ราวกับลูกธนูสีเขียวที่หลุดจากสาย
หากไม่ได้รับข่าวจากเขา พี่สาวจะเป็นห่วงหรือไม่? อย่างน้อยก็คงคิดถึงเขาบ้างกระมัง!
ฝีเท้าม้าค่อยๆ ช้าลง ความเร็วก็ลดลง ชุนจิ่งเอนตัวไปข้างหลัง ใช้แขนหนุนศีรษะ นอนหงายบนหลังม้า มองท้องฟ้าสีครามสดใส เขาคิดว่าการหนีไปจะทำให้เขามีความสุข แต่กลับพบว่า ไม่ว่าเขาจะวิ่งไปไกลแค่ไหน ก็เหมือนว่าวที่ลอยอยู่กลางอากาศ ปลายเชือกอีกด้านยังคงอยู่ในมือของพี่สาว
ตอนนี้เขาเริ่มอิจฉาผู้ชายเหล่านั้นที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพี่สาวเลย แม้กระทั่งชายที่ถูกพี่สาวทอดทิ้ง
การเดินทางครั้งนี้เขากำลังไปหาเขาผู้นั้น ชื่อเสียนซี ก่อนที่พี่สาวจะขึ้นครองตำแหน่ง เขาเป็นมหาปุโรหิตของตระกูล อาจกล่าวได้ว่าพี่สาวในทุกวันนี้เป็นผลงานของเสียนซีโดยแท้ แต่กระนั้น บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงว่า จะต้องเสียสละตนเอง ทำลายความรักอันงดงามที่เคยมี
ในสายตาของชุนจิ่ง การกระทำของเสียนซีเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยตนเองไม่ได้ประโยชน์ เพราะเขาไม่เข้าใจพี่สาวของตน
ตลอดมา พี่สาวของเขาเพียงต้องการเป็นคนธรรมดา อำนาจและตำแหน่งไม่เคยเป็นสิ่งที่นางแสวงหา บางทีสำหรับคนส่วนใหญ่ อำนาจอาจเป็นเป้าหมายแห่งชีวิต แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรมิใช่หรือ? มาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า มีเพียงความห่วงหาอาลัย
แม้กระทั่งตอนนี้ พี่สาวของเขายังคงคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้หนีจากชิงชิว หนีจากต้าเจ๋อ กลับไปยังจิ่วโจว เป็นผู้อิสระไร้พันธะตามที่นางปรารถนา
ม้าแดงที่เขาขี่มีชื่อว่า "หงโต่ว" (ถั่วแดง) ชื่อนี้พี่สาวของเขาเป็นคนตั้งให้ พี่สาวบอกว่า "เจ้าชื่อเสี่ยวโต่ว (ถั่วเล็ก) มันชื่อหงโต่ว (ถั่วแดง) พอดีเป็นครอบครัวเดียวกัน!" จมูกของหงโต่วไวมาก ไวยิ่งกว่าจมูกของชุนจิ่งเสียอีก มันจึงหยุดเดิน
ชุนจิ่งนอนอยู่สักครู่ ขมวดจมูกเบาๆ แล้วพลันพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง มองไปยังที่ไกลๆ ปลายถนน
ที่นั่นมีเสาสูงสามจ้าง บนเสาแขวนธงผ้าสีแดงสด บนธงปักตัวอักษร "เหล้า" สีทอง
ในสายลม ธงนั้นส่งเสียงพลิ้วไหว พัดพากลิ่นเหล้าหอมฟุ้งมา
ดวงตาของชุนจิ่งพลันเป็นประกาย ทุกครั้งที่นึกถึงพี่สาว หนอนเหล้าในท้องของเขาก็ตื่นขึ้น
เขาพลิกชายเสื้อคลุมนั่งลงที่โต๊ะเปียกชื้นเต็มไปด้วยคราบเหล้า โต๊ะนี้ชื้นๆ ส่งกลิ่นเหล้าฉุน ราวกับเพิ่งยกขึ้นมาจากบ่อเหล้า เขายกมือวางไข่มุกเม็ดหนึ่งลง สั่งเหล้าแรงมาสองไห
เขาลืมไปแล้วว่าเรียนรู้การดื่มเหล้าตั้งแต่เมื่อไร แต่เขารู้ว่าถ้าพี่สาวรู้เรื่องนี้ จะต้องสั่งสอนเขาอย่างหนัก เพราะพี่สาวเคยบอกว่า ห้ามเป็นขี้เมาเด็ดขาด!
แน่นอน คำพูดของพี่สาว บางครั้งเขาก็ฟัง เขาล้วงถุงกระดาษออกมาจากอก ภายใต้สายตาประหลาดใจของเจ้าของร้าน เทใบชาลงในไหเหล้าทั้งสอง ปิดฝา แล้วลุกขึ้นขี่ม้าจากไป
ตอนนี้ในไหของเขาไม่ใช่เหล้าอีกต่อไป แต่เป็นชา
เดินทางไปได้ไม่ถึงหนึ่งลี้ ชุนจิ่งล้วงถ้วยเหล้าปากกว้างสีขาวออกมาจากอก ใช้ฟันงัดจุกไห รินลงหนึ่งถ้วย น้ำชาสีเขียวในถ้วยสีขาวดูสดใสโปร่งแสง กลิ่นชาผสมกลิ่นเหล้า หอมกรุ่นชวนดื่ม
หงโต่วส่งเสียงฟ่อจมูก ก้าวเท้าเบาสบาย มันก็รู้ว่านี่คือชารสเลิศ
ชุนจิ่งโอบคอหงโต่วด้วยมือหนึ่ง อีกมือถือไหเหล้า หลับตาซบอยู่บนหลังม้า เขาถูไถคอของหงโต่ว ทำปากจุ๊บจิ๊บ กลิ่นหอมของชาเหล้าลอยออกมาจากริมฝีปากและฟัน
เสียงลมพัดใบหญ้าดังแซ่กๆ เหมือนเครื่องเขย่าในมือนางรำ แมลงที่อาศัยอยู่ในกอหญ้าก็ส่งเสียงร้องเบาๆ เสียงอึกทึกไร้จังหวะนั้นค่อยๆ มีระเบียบในสายลม ทำให้ชุนจิ่งที่เมาอยู่แล้วยิ่งง่วงนอน
ในขณะที่เขากำลังจะยอมจำนนต่อสัญชาตญาณและเคลิ้มหลับ เสียงร้องใสกังวานของนกแหวกอากาศมา ทำให้เขาสะดุ้งพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง เสียงนั้นไพเราะนัก ในโลกนี้มีนกไม่กี่ชนิดที่ส่งเสียงร้องไพเราะเช่นนี้ได้ แต่สำหรับชุนจิ่งแล้ว เสียงนกร้องเช่นนี้เป็นดั่งหมายเรียกความตาย
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปราศจากฝุ่นผง ขมวดคิ้วแน่น เม้มริมฝีปาก ลูบแผงคอของหงโต่ว พึมพำว่า "คราวนี้นกเขียวมาเร็วกว่าที่คาดไว้นะ! ฝากด้วยล่ะ"
หงโต่วเงยหน้าส่งเสียงร้องเบาๆ ยกกีบเท้า วิ่งออกไป
ม้าแดงวิ่งได้พันลี้ในเวลากลางวัน แปดร้อยลี้ในเวลากลางคืน เมื่อวิ่งขึ้นมาเหมือนปล่อยอารมณ์ ต้องให้สาแก่ใจเสียก่อน ดังนั้นเมื่อมันหยุดลง ชุนจิ่งก็หน้าซีดขาว อาเจียนทุกอย่างในท้องออกมาหมดแล้ว
ชุนจิ่งนั่งอยู่บนพื้นอย่างไร้ภาพลักษณ์ ยกมือปาดปาก เงยหน้าจ้องหงโต่ว หอบหายใจพลางกัดฟันตะโกนว่า "หงโต่ว!"
หงโต่วมองชุนจิ่งแล้วก้มหัว ถูไถแขนของชุนจิ่ง
ชุนจิ่งมองดวงตาโตที่มีขนตายาวของมัน ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ลูบศีรษะมัน
เขาเท้าแขนกับพื้น เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้เมฆแม้แต่น้อย ถอนใจยาว แล้วนอนหงาย มุมปากมีรอยยิ้มพึงพอใจ "เช่นนี้ การพบกันครั้งต่อไปคงต้องรออีกสักพัก!"
"แต่..." ชุนจิ่งหันไปมองหงโต่ว ยักยิ้มที่มุมปาก ตายิ้มโค้ง "เพื่อความปลอดภัย ข้าจำเป็นต้องเปลี่ยนใบหน้า และต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เจ้าด้วย"