บทที่ 4

มุมมองของอลอร่า

ฉันกำลังจะได้เป็นนักวิจัยระดับด็อกเตอร์ชั้นนำอันดับสามในห้องแล็บของฝูง ฉันจะเป็นหัวหน้านักชีวเคมีด้วยวิชาเอกด้านชีวเคมี จุลชีววิทยา และโลหิตวิทยา ฉันจะได้ดูแลทีมนักวิจัยของตัวเอง และโชคดีของฉันที่ทีมนี้แทบรอไม่ไหวที่จะให้ฉันมาเป็นหัวหน้าอย่างเป็นทางการ พวกเขานับถือในความฉลาดของฉันแม้ฉันจะอายุน้อย

สิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นด็อกเตอร์คือ มันทำให้ฉันได้รับความเคารพนับถือและมีเกียรติ ซึ่งพ่อแม่ของฉันจะไม่พอใจแน่ๆ เพราะฉันไม่ใช่เจ้าหญิงน้ำแข็งของพวกเขา ฉันคือรอยด่างพร้อยของพวกเขา เป็นความผิดพลาด เป็นจุดมืดดำที่ถูกยัดเยียดให้พวกเขา ฉันเริ่มยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธจัดของพวกเขา ว่าฉันจะกลายเป็นคนที่แตะต้องไม่ได้ขนาดไหนหลังจากนี้ ฉันจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกต่อไปไม่ว่าในทางใด

อีกเรื่องที่ยอดเยี่ยมก็คือ พวกเขายังไม่รู้ว่าฉันเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว ทันทีที่ฉันอายุสิบแปด ฉันก็เปลี่ยนมัน ฉันเปลี่ยนแม้กระทั่งชื่อกลาง ฉันไม่ได้ชื่อ อลอร่า ฟรอสต์ นอร์ทเมาน์เทน อีกต่อไป ตอนนี้ฉันคือ อลอร่า ลูน่า ฮาร์ทซอง ฉันเปลี่ยนชื่อโดยได้รับการอนุมัติจากอัลฟ่าของเรา เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่าฉันมาจากสายเลือดฮาร์ทซอง และในไม่ช้าก็จะเป็น ด็อกเตอร์ฮาร์ทซอง

ชื่อใหม่ของฉันจะถูกประกาศออกมาดังๆ ในพิธีจบการศึกษา มันจะเป็นชื่อที่ระบุอยู่ในประกาศนียบัตรอยู่แล้ว นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่พวกเขาจะได้รู้ เป็นการแยกตัวออกจากพวกเขาอย่างเปิดเผย ฉันเบื่อหน่ายกับการถูกทุบตีไม่หยุดหย่อน การทำร้ายทางอารมณ์และวาจาที่เพิ่มเข้ามาจากการทำร้ายร่างกาย แล้วยังต้องยับยั้งตัวเองไว้เมื่อรู้ว่าสามารถป้องกันตัวได้ นั่นกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด ฉันพยายามเตือนตัวเองมาสองสัปดาห์แล้ว แต่ฉันคิดว่าฉันคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

ฉันไม่กินอาหารเช้ากับคนอื่นๆ ในครอบครัว พวกเขาคงไม่อยากกินกับฉันอยู่แล้ว พวกเขาคงใช้เวลานั้นพูดจาบั่นทอนฉัน จนฉันไม่เจริญอาหาร ฉันกินอาหารเช้าที่โรงเรียน หรือไม่ก็ซื้อจากร้านสะดวกซื้อเล็กๆ ระหว่างทางไปโรงเรียน ฉันชอบซื้อเบอร์ริโต้อาหารเช้าชิ้นใหญ่สองชิ้นของร้านนั้นที่ใส่ไข่ ชีส ไส้กรอก เบคอน และซอสเผ็ด พร้อมกับน้ำส้มหนึ่งขวดและนมอีกหนึ่งขวด มันเป็นอาหารเช้าที่ให้พลังงานสูงสำหรับคนหมาป่า

โทรศัพท์ฉันดังขึ้น ฉันรู้ว่าเป็นดาเรียน ลูกชายคนที่สองของอัลฟ่าและเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน พี่สาวฉันเกลียดเขา และเขาก็เกลียดหล่อน หล่อนเคยพยายามจะคบกับเขา แต่เขายืนกรานว่าจะรอคู่แท้ของเขา เขาอายุสิบแปดมาสองสามเดือนแล้ว เขาเองก็สงสัยว่าเขารู้แล้วว่าเธอคือใคร แต่เขากำลังรอให้เธออายุสิบแปดเหมือนกัน เพื่อให้หมาป่าในตัวเธอจำเขาได้ก่อนที่เขาจะเข้าไปหาเธอ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความ

ฉันอยู่หน้าบ้านแล้ว พร้อมอาหารเช้าของหมาป่า เร็วเข้า วันนี้มีฝึกการต่อสู้นะ

กำลังออกไป แป๊บเดียว

บ้านมีสามชั้น ฉันอยู่ชั้นสามในห้องใต้หลังคาที่ดัดแปลงแล้ว ชั้นสองมีห้องนอนของซาร่าห์และห้องทำงานของพ่อแม่ ห้องของซาร่าห์เคยเป็นสองห้อง จนกระทั่งหล่อนตัดสินใจว่าต้องการพื้นที่มากขึ้น ชั้นสองมีระเบียงที่ล้อมรอบตัวบ้านพร้อมประตูที่เปิดออกไปได้ ฉันแอบย่องออกทางประตูชั้นสอง ลงบันได อ้อมไปหลังโรงรถ ออกจากประตูรั้ว และลงไปตามทางรถสู่รถดอดจ์ ชาร์จเจอร์ สีน้ำเงินเข้มเป็นมันวาวที่เพื่อนฉันขับ ฉันเปิดประตูรถและได้กลิ่นเบอร์ริโต้ที่เขาซื้อมาให้เรา ฉันพุ่งตัวเข้าไปนั่งเบาะหน้าทันทีที่ประตูหน้าบ้านของฉันเปิดออก

"อีนังเด็กเหลือขอ แกคิดว่าแกใส่บ้าอะไรอยู่วะ กลับเข้าบ้านเดี๋ยวนี้แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ!!!!" แม่ฉันกรีดร้องด้วยความโกรธจัด ฉันคงไม่แปลกใจถ้าทั้งฝูงจะได้ยินเสียงนาง ฉันปิดประตูรถแล้วเพื่อนฉันก็เหยียบคันเร่งจมมิด ฉันเห็นสีหน้าเดือดดาลของแม่ขณะที่นางวิ่งลงมาตามทางรถพร้อมกับกรีดร้องและชูกำปั้นเขย่าไปมาในกระจกมองหลัง คงกำลังขู่ว่าจะเอาคืนที่ฉันเมินนาง

เพื่อนฉันก็มองกระจกมองหลังเหมือนกัน "โห โคตรโมโหเลยว่ะ" เขาพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ

"รู้แล้วน่า สงสัยว่านางจะทำอะไรตอนฉันกลับถึงบ้าน?" ฉันถามพร้อมถอนหายใจอย่างปลงๆ

"เธอก็รู้ว่าเธอจัดการนางได้สบายๆ เธอมันโคตรเก่งอยู่แล้ว ฉันเห็นเธอฝึก ฉันก็ฝึกกับเธอและคนอื่นๆ ในชั้นเรียนอัลฟ่าปีนี้ ให้ตายสิ เธอยังเก่งกว่าฉันอีกทั้งที่ฉันเป็นลูกชายอัลฟ่านะ" เขาพูด

"ฉันรู้ ฉันรู้...มันแค่...ฉันใกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว ฉันสัญญากับตัวเองว่าอีกไม่นานฉันก็ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป" ฉันถอนหายใจ

"อีกไม่นานที่ว่านี่มันเมื่อไหร่?" เขาถามเสียงเข้ม

"ฉันพยายามจะทนให้ถึงวันสุดท้ายของการเรียน แต่..." ฉันพูดเสียงแผ่วลง

"แต่อะไร?" เขาถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง

ฉันถอนหายใจก่อนพูดต่อ "ฉันว่าการต้องปิดบังมันต่อไปมันอึดอัดเกินไปแล้ว ฉันจะไม่ซ่อนทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้จะเปิดเผยทั้งหมดทีเดียว วันนี้จะเป็นวันแรกของฉัน" ฉันบอก

"วันแรกของอะไรเหรอ" เขาถาม

"ของการไม่หลบซ่อนอีกต่อไป" ฉันตอบเสียงเครียด

เรากินบูร์ริโตกันระหว่างทางไปโรงเรียน เราทั้งคู่ต่างอยากไปถึงให้เช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหวังว่าจะได้เจอเมทของตัวเอง ฉันคิดว่าฉันรู้ว่าใครคือเมทของเขา เธอชื่อเซเรนิตี้ เธอเตี้ยกว่าฉันแค่สองนิ้ว

เป็นคนหมาป่าที่หุ่นดี มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ผมหยิกฟูสีแดงเข้มยาวถึงสะโพก ดวงตาสีเขียวมรกตสดใสมีขอบสีทอง มีกระเรียงกันน่ารักพาดผ่านจมูก ผิวขาวซีดราวกับน้ำนม เธอเป็นหมาป่าตัวเมียที่เข้มแข็งแต่ขี้อายและอ่อนหวาน

พี่สาวของฉันก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน เพราะเธอชอบปกป้องคนอื่น โชคดีที่การคุกคามจากพวกพี่ชายของเธอช่วยยับยั้งการแก้แค้นครั้งใหญ่ที่พี่สาวฉันกับสมุนจะทำกับเธอได้ มันก็เลยเป็นแค่เรื่องหยุมหยิม อย่างการล้อชื่อและพูดจาดูถูก

พี่ชายฝาแฝดสองคนของเซเรนิตี้ที่โรงเรียนเดียวกับเราเรียนอยู่ชั้นเดียวกับเราเพราะพวกเขาเกิดก่อนเธอแค่หกเดือนตอนปลายเดือนพฤศจิกายน ทำให้ต้องเริ่มเรียนพร้อมเธอ พฤติกรรมของซาร่าห์ที่มีต่อหมาป่าตัวเมียคนนั้นทำให้ฉันสงสัยบางครั้งว่าพี่เขาเคยโตพ้นจากวัยประถมจริงๆ หรือเปล่า

ฉันเคยเห็นดาเรียนแอบมองเธอด้วยสายตาโหยหา ตอนที่เขาคิดว่าไม่มีใครเห็น ฉันรู้ว่าวันเกิดเธอคือวันถัดจากวันเกิดฉัน ฉันคงจะดีใจถ้าเธอเป็นเมทของเขา พวกเขาคงเป็นคู่ที่น่ารักที่สุด แม้จะตื่นเต้นที่จะได้เจอเมทของตัวเอง ฉันก็กลัวเหมือนกัน ถ้าเกิดเป็นคนที่ไม่ชอบล่ะ ถ้าเขาปฏิเสธฉันล่ะ ฉันไม่รู้เลยว่าจะรู้สึกยังไง ฉันถูกครอบครัวปฏิเสธมาทั้งชีวิตแล้ว

พี่สาวฉันกับเพื่อนๆ ทำให้การโดดเดี่ยวฉันเป็นงานอดิเรกไปแล้ว ใครก็ตามที่อยากเป็นเพื่อนฉัน ไม่นานก็จะโดนพี่กับลูกสมุนเล่นงาน พวกนั้นถึงกับพยายามทำให้ดาเรียนทิ้งฉันไป พวกเขาสร้างข่าวลือแย่ๆ ขึ้นมา ฉันหลีกเลี่ยงผู้ชายส่วนใหญ่ เพราะพวกเขาเชื่อว่าฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายที่ยอมให้ใครก็ได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่พี่สาวฉันบอกทุกคน

พวกผู้หญิงก็อยู่ห่างจากฉันเพราะเชื่อว่าฉันจะแย่งแฟนแล้วไปนอนกับพวกเขา ฉันยังบริสุทธิ์อยู่เลย เพราะงั้น ใช่ มันไม่จริง แต่จะมีใครฟังไหม ไม่เลย ถ้าฟัง พวกเขาก็เงียบปากไว้

นักเรียนไม่กี่คนนักที่จะมีเส้นสายพอจะเป็นเพื่อนฉันได้โดยไม่โดนพี่สาวฉันเล่นงานกลับ พี่สาวฉันร้ายกาจมาก มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเคยปกป้องฉัน เธอไม่ใช่เพื่อน แค่เป็นคนนิสัยดีคนหนึ่ง วันต่อมา เธอมาโรงเรียนโดยสวมหมวกแก๊ปคลุมหัว

ผมของเธอเคยเป็นสีบลอนด์เป็นประกายยาวถึงเอว มีเฉดสีต่างๆ ราวเจ็ดเฉด ตั้งแต่บลอนด์ขาวไปจนถึงสีทอง จนกระทั่งพี่สาวฉันกับสมุนไปดักเจอเธอตอนเดินกลับบ้าน พวกนั้นพาเธอไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีพยาน แล้วก็เผาผมเธอทิ้งจนหมด

ที่แย่กว่านั้นคือ พวกเขายังบังคับให้เธอกินยาพิษหมาป่าชนิดออกฤทธิ์นานเข้าไปด้วย กว่าจะถึงตอนพักกลางวัน เธอก็ล้มฟุบลงกับพื้น ไอและอาเจียนเป็นเลือด ตั้งแต่นั้นมาผมเธอก็เริ่มยาวขึ้นบ้าง ตอนนี้ยาวประบ่าแล้ว ตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองมาทางฉันด้วยซ้ำ เพราะกลัวพี่สาวฉันเกินไป

ฉันรู้ว่าพี่สาวฉันรอดพ้นความผิดมาได้ยังไง พ่อแม่ของเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นหมาป่าระดับล่างที่ไม่มีสถานะในเผ่า และพ่อแม่ฉันก็หาทางทำให้พวกเขาเงียบปากได้ พี่สาวฉันมีเหยื่ออีกมาก และไม่ใช่แค่เรื่องที่เกี่ยวกับฉันเสมอไป ถ้าพี่สาวฉันไม่ชอบสิ่งที่คุณพูดถึงเธอ เธอจะทำให้คุณต้องชดใช้

หนึ่งในหลายเหตุผลที่ดาเรียนรู้ว่าไม่ต้องไปฟังพี่สาวฉัน ก็เพราะเขาเคยเห็นพี่สาวคุยกับเพื่อนๆ เรื่องข่าวลือที่พวกเขากุขึ้นมาใส่ร้ายฉันโดยเฉพาะ ดาเรียนบอกว่าเขาไม่เคยชอบพี่สาวฉันเลย บอกว่าพี่เขามีท่าทางน่ารังเกียจที่ทำให้ขนเขาตั้งชัน

เรามาเช้าพอที่จะได้ที่จอดรถใกล้สนามหญ้าหน้าโรงเรียนที่สุด เขาถอยรถเข้าช่องจอด แล้วเราก็ลงจากรถ เราพิงท้ายรถกันอยู่

"แล้วนายจะบอกฉันได้รึยังว่าคิดว่าใครเป็นเมทของนาย" ฉันถามเขา

เขาขยับตัวเล็กน้อยที่พิงรถอยู่ "แววตาเธอบอกฉันว่าเธอคิดว่าเธอรู้แล้วล่ะว่าเป็นใคร" เขาตอบ

"ฉันมีทฤษฎีน่ะ..." ฉันเลี่ยง

"ใคร" เขาถามเสียงระแวง

"เซเรนิตี้" ในที่สุดฉันก็บอก

เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางเสยผมตัวเอง มองขึ้นฟ้าแวบหนึ่งก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับฉัน ฉันรอ รู้ว่าเขายังคิดอยู่ กำลังตัดสินใจว่าจะบอกฉันดีไหม ในที่สุดเขาก็พูด "อืม ใช่ ฉันคิดว่าเป็นเธอ"

Capitolo precedente
Capitolo successivo