


สอง
โทไบอัสเป็นคนแรกที่ก้าวออกจากลิฟต์ วันนี้เขาสวมสูทสีดำ เชิ้ตขาว และเนกไทสีเงิน เขาเอาแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ เขาหยิบกาแฟจากถาดไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองฉัน แล้วเดินตรงเข้าห้องทำงานไปเลย ส่วนธีโอสวมสูทสีเทา กระดุมสามเม็ดบนของเชิ้ตขาวไม่ได้ติด เผยให้เห็นช่วงอกบางส่วน ฉันยังไม่เคยเห็นเขาแต่งตัวเนี้ยบเท่าโทไบอัสเลย หรือผูกไทด้วยซ้ำ ธีโอหยุด หยิบแก้วมัคของเขาขึ้นมาจิบ “อรุณสวัสดิ์ อิโมเจน” เขาพูดพร้อมขยิบตาก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องของโทไบอัส
ฉันอดหน้าแดงไม่ได้ ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาบนใบหน้า ฉันรีบเอาถาดกลับไปเก็บในครัว ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตจากโต๊ะทำงาน ฉันยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องทำงานของโทไบอัส ภาวนาในใจให้วันนี้เขาอารมณ์ดี ก่อนที่ฉันจะได้เคาะ เขาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“จะเข้ามาหรือจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งวัน?” น้ำเสียงทุ้มห้าวของเขาทำฉันสะดุ้ง ก่อนจะเปิดประตูแง้มพอให้ตัวเองแทรกตัวเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว โทไบอัสนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน นิ้วกำลังพิมพ์แล็ปท็อปอย่างรวดเร็ว เขายังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา ฉันยืนอยู่ตรงนั้น สลับน้ำหนักเท้าไปมาอย่างงุ่มง่าม ฉันว่าคุณเคนน่าเกรงขามมาก เขาดูเป็นทางการและจริงจังอยู่เสมอ เมื่อเห็นฉันยังไม่พูดอะไร เขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาจับจ้องตรึงฉันอยู่กับที่ มือฉันสั่นเล็กน้อยกับสายตาคมกริบของเขา เขาเอียงคอรอให้ฉันพูด เรียกสติฉันกลับคืนมา ฉันก้าวไปข้างหน้า กอดแท็บเล็ตในมือแน่นราวกับเป็นโล่กำบัง พลางตรวจสอบตารางงานของเขา
“ตอนเที่ยงท่านมีประชุมกับคุณเจคอบส์นะคะ ดิฉันส่งต่อข้อเสนอต่างๆ ที่ต้องใช้ในการประชุมให้แล้ว และกำลังส่งอีเมลตอบกลับเรื่องการประชุมใหญ่ที่ท่านจัดเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วให้ตอนนี้ค่ะ”
“มีแค่นั้น?”
“ยังค่ะท่าน ดิฉันต้องการให้ท่านเซ็นอนุมัติเรื่องงานระดมทุนการกุศลให้โรงพยาบาลค่ะ”
“แล้วเอกสารอยู่ไหน?”
ฉันรีบก้มมองมือตัวเอง เพิ่งนึกได้ว่าทิ้งเอกสารแผ่นเดียวที่ต้องใช้ไว้บนโต๊ะทำงาน ฉันอยากจะตบหน้าผากตัวเองในใจจริงๆ ฉันชูนิ้วชี้ขึ้น โทไบอัสกลอกตามองฉันอย่างเห็นได้ชัดว่ารำคาญกับความผิดพลาดของฉัน พลางแบมือรอเอกสาร “เอ่อ รอสักครู่นะคะท่าน”
ฉันได้ยินเขาถอนหายใจอย่างหัวเสีย ฉันรีบผลุบออกไปหยิบเอกสารกลับมา ก่อนจะสอดมันไปบนโต๊ะตรงหน้าเขา เขาเซ็นมันทันทีแล้วส่งคืนให้ฉัน โดยไม่แม้แต่จะมองหน้า แล้วกลับไปพิมพ์แล็ปท็อปต่อทันที
ฉันอดสังเกตไม่ได้ว่าเขาดูเหนื่อยล้า มีรอยคล้ำใต้ดวงตาสีฟ้าสดใสตามปกติของเขา และผิวก็ดูซีดกว่าผิวสีแทนทองตามธรรมชาติเล็กน้อย ฉันเผลอจ้องมองเขาค้าง ลืมไปเลยว่าตัวเองต้องทำอะไร มัวแต่ชื่นชมเจ้านายตัวเองอยู่ได้ คุณเคนกระแอมเบาๆ อย่างมีพิรุธ ดึงฉันออกจากภวังค์ เขายกคิ้วมองฉัน จับได้ว่าฉันกำลังแอบมองเขาอยู่
“โอ้ ขอโทษค่ะท่าน” ฉันพูดตะกุกตะกัก เขาเพียงส่ายหน้า แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอ ฉันหันหลังกลับอย่างอับอาย วิ่งออกจากห้องแล้วปิดประตู
คุณเคนทำให้ฉันประหม่าได้เสมอ เวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขา ฉันมักจะรู้สึกมึนๆ เบลอๆ จนถึงขั้นลืมหายใจไปเลยก็มี ครั้งล่าสุดที่เกิดเรื่องแบบนี้ ฉันถึงกับเป็นลมไปเลย แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย สมองก็เลยตื้อๆ ไปหมดแล้ว ฉันตื่นขึ้นมาเจอใบหน้าเป็นห่วงของธีโอโน้มอยู่เหนือตัว ขณะที่โทไบอัสเอาแต่จ้องฉันเหมือนฉันสติไม่ดี เอาจริงดิ ใครกันจะลืมหายใจ? มันควรจะเป็นการทำงานพื้นฐานของร่างกายแท้ๆ แต่ฉันกลับทำเรื่องแค่นี้ให้ถูกต้องไม่ได้
วันนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่าทำไมถึงไม่มีใครอยากทำงานนี้ มันยากเหลือเชื่อที่จะมีสมาธิทำงานเวลาอยู่ใกล้ๆ พวกเขา พวกเขากลายเป็นสิ่งรบกวนสมาธิได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันยังพบว่าคุณเคนสามารถเป็นคนที่ร้ายกาจได้ทีเดียว ฉันไม่คิดว่าเขาจะรู้ตัวว่าพูดจาร้ายกาจแค่ไหนเวลาโกรธ โชคดีของเขาที่ฉันเป็นคนหนังเหนียวและต้องการงานนี้อย่างยิ่ง ฉันยังต้องแน่ใจว่าถือแท็บเล็ตไว้ในมือทุกครั้งที่เข้าห้องทำงานเขา เผื่อว่าเขาจะขว้างปาอะไรใส่ ฉันเคยเห็นเขาเอาขวดน้ำฟาดช่างเทคนิคไปทีหนึ่งตอนที่เขากำลังโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง จริงๆ นะ หมอนี่มีปัญหาเรื่องควบคุมอารมณ์ ควรไปบำบัดหรือทำอะไรสักอย่าง ทุกคนต้องคอยระมัดระวังตัวแจเวลายุ่งกับเขายกเว้นธีโอ ช่างเทคนิคคนนั้นไม่กลับมาอีกเลยตั้งแต่นั้น
ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน หัวเราะกับความทรงจำนั้นก่อนจะหันกลับมาที่คอมพิวเตอร์ งานของฉันดีและง่ายอย่างน่าประหลาดใจ แถมเงินก็ดีด้วย ไม่ค่อยต้องใช้แรงกายเท่าไหร่ นอกเสียจากจะนับเรื่องรับโทรศัพท์กับหอบแฟ้มเอกสาร สิ่งเดียวที่หนักหนาคือเรื่องชั่วโมงทำงาน ฉันต้องพร้อมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เจ็ดวันต่อสัปดาห์ตามตัวอักษรเลย ฉันไม่ใช่แค่เลขานุการ แต่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวด้วย ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะใช้ให้ฉันทำอะไรมากมายนักหรอกนะถ้าไม่เกี่ยวกับงาน แต่บางทีชั่วโมงทำงานก็โหดร้ายเหมือนกัน อย่างเช่นต้องทำงานถึงเช้ามืดก่อนถึงเดดไลน์สำคัญๆ
ฉันกดปุ่มพิมพ์เอกสาร แล้วเดินเข้าไปในห้องเครื่องพิมพ์ซึ่งอยู่ติดกับห้องครัวเล็กๆ ฉันกำลังรอเอกสารที่สั่งพิมพ์อยู่ แต่แล้วเครื่องพิมพ์ก็ส่งเสียงบี๊บก่อนที่รหัสข้อผิดพลาดจะปรากฏขึ้น ถาดกระดาษว่างเปล่า ฉันก้มลง เปิดฝาเครื่องพิมพ์แล้วดึงถาดออกมา ก่อนจะเดินไปที่ลิ้นชักเพื่อหยิบกระดาษ
ตู้เก็บของว่างเปล่า ฉันเดินออกมา มุ่งหน้าไปยังห้องเก็บของ เปิดประตู กดสวิตช์ไฟ แล้วกวาดตามองไปตามชั้นวาง ฉันถอนหายใจเมื่อเห็นว่ามันถูกเอาไปวางไว้ที่ไหน มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ตัดสินใจเอามันไปซ้อนไว้บนชั้นบนสุด ฉันดึงบันไดพับออกมาจากหลังประตู นั่งลงบนบันได ถอดรองเท้าส้นสูงออกแล้วปีนขึ้นไป ฉันต้องเขย่งปลายเท้าเพื่อเอื้อมให้ถึงกล่องนั้น ฉันใช้ปลายนิ้วเกี่ยวกล่องไว้แล้วเริ่มดึงมันมาทางขอบชั้น ตอนนั้นเองที่เสียงของเขาจากด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้ง
“ให้ช่วยไหม” ธีโอถาม ฉันอุทานพรวดออกมาและสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ฉันเริ่มเสียการทรงตัว ฉันรีบคว้าชั้นวางไว้ด้วยปลายนิ้ว พยายามทรงตัวให้กลับมายืนนิ่งได้ หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก พอจังหวะหัวใจเริ่มสงบลง ฉันก็พลันตระหนักถึงมือที่กำลังกุมก้นฉันอยู่ พอก้มลงมอง ฉันก็เห็นมือของธีโอกำลังประคองฉันไว้อย่างมั่นคง ฉันรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ของเขาที่กดแน่นอยู่บนบั้นท้ายผ่านเนื้อผ้ากางเกง นิ้วโป้งของเขาแทรกอยู่ระหว่างขา กดตรงจุดอ่อนไหว โชคดีจริงๆ ที่วันนี้ฉันใส่กางเกง ไม่ใช่กระโปรง
“เอ่อ บอสคะ” ฉันพูดพลางก้มมองมือเขา ดูเหมือนเขาจะเพิ่งสังเกตว่าคว้าตัวฉันไว้ตรงไหน รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นบนใบหน้า ความรู้สึกจากมือใหญ่ของเขาที่วางอยู่บนตัวทำให้ฉันหน้าแดง ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ฉันต้องพยายามอย่างหนักเพื่อสะกดกลั้นความอยากที่จะหนีบต้นขาเข้าหากันเพื่อหยุดความรู้สึกปวดหนึบที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นตรงหว่างขา
พอรู้สึกว่ามือเขาลูบไล้ลงมาตามต้นขาด้านในจนถึงข้อเท้า ฉันก็เผลอสูดปาก แล้วเขาก็ชักมือกลับ ผิวฉันร้อนซ่านด้วยความอับอายที่ดันมาแอบหวั่นไหวกับบอสเกย์ของตัวเอง ดูเหมือนธีโอจะทำจมูกฟุดฟิดในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นอาการเขินอายของฉัน จากนั้นธีโอก็เอื้อมมือไปหยิบกล่องที่ฉันพยายามอย่างยากเย็นที่จะหยิบลงมา
เขากระชากมันลงมาด้วยมือเดียว ฉันรีบก้าวลงจากบันไดแล้วใส่ส้นสูงกลับเข้าไป ก่อนจะรับกล่องมาจากเขา
“กำลังหาอะไรอยู่เหรอคะ” ฉันถาม รู้สึกทั้งร้อนวูบวาบทั้งประหม่าขณะเดินออกจากห้องเก็บของกลับไปที่เครื่องพิมพ์
“ใช่ ผมพยายามจะพิมพ์งาน แต่เพิ่งรู้ว่ากระดาษหมด” ธีโอตอบพลางยืนพิงเคาน์เตอร์ข้างเครื่องพิมพ์
ฉันรีบใส่กระดาษลงในถาดก่อนจะดันกลับเข้าไปในเครื่อง กดล้างข้อผิดพลาด แล้วกดพิมพ์ เครื่องเริ่มทำงานทันที พิมพ์เอกสารออกมา ฉันเย็บเอกสารรวมกันแล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์ เมื่อไม่มีเอกสารออกมาอีก ฉันก็หันไปหาธีโอ “แน่ใจนะคะว่ากดพิมพ์แล้ว” ฉันถามพลางเลิกคิ้ว
ธีโอทำท่าครุ่นคิดก่อนตอบ “คิดว่ากดนะ”
ฉันกลอกตามองบนใส่เขาแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา เขาเดินตามหลังฉันมาแล้วหยุดยืนพิงกรอบประตูห้องทำงาน มองดูฉันอยู่ตรงนั้น