


1.ฉันกำลังถูกขาย
นานมาแล้ว ฝูงหมาป่าถูกแบ่งออกเป็นสี่ฝูง ประกอบด้วยสามฝูงในปัจจุบันและฝูงไวท์มูน ฝูงไวท์มูนและฝูงบลูมูนเคยเป็นฝูงเดียวกัน ฝูงบลูมูนมียีนนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นกำลังหลักของเหล่าหมาป่า ฝูงไวท์มูนสนับสนุนสันติภาพ แต่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น ผู้นำฝูงไวท์มูนจึงนำพวกพ้องแยกตัวออกจากฝูงบลูมูน
แม้ว่าจำนวนสมาชิกของฝูงไวท์มูนจะไม่มากนัก แต่สมาชิกทุกคนก็เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์คาถา และพละกำลังของแต่ละคนเทียบได้กับกองทัพ พลังของพวกเขามาจากคริสตัล และพวกเขาศรัทธาในเทพีแห่งดวงจันทร์ สวดภาวนาให้หมาป่าทุกฝูงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เมื่อฝูงบลูมูนและไวท์มูนแยกจากกัน พลังโดยรวมของฝูงบลูมูนก็ค่อยๆ ลดลง เนื่องจากยีนนักสู้ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะควบคุมได้ ทำให้พวกเขามีลูกยาก และจำนวนประชากรก็เริ่มลดน้อยลง พวกเขาจำต้องย้ายฝูงของตนเข้าไปอยู่ในโลกมนุษย์
ในทางกลับกัน ฝูงไวท์มูนใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่บนภูเขา กล่าวกันว่าเทพีแห่งดวงจันทร์ได้ผนึกพลังส่วนหนึ่งของนางไว้ในคริสตัล และเมื่อมีผู้สืบทอดคนใหม่ พวกเขาก็จะสามารถปลุกพลังทั้งหมดของตนขึ้นมาได้ด้วยคริสตัลนั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ฝูงแบล็กมูนมีจำนวนสมาชิกมากที่สุดและอิทธิพลของพวกเขาก็แผ่ขยายไปทั่วโลกธรรมชาติ ฝูงบลัดมูนเป็นอันดับสอง...
ลูซี่
ตอนนั้นเป็นเวลาสี่โมงตรงพอดี ปกติแล้วคนอายุเท่าฉันคงเพิ่งกลับจากโรงเรียนมัธยมปลาย ฉันนึกภาพว่าพวกเขาคงเข้ามาในบ้าน หยิบขนม นั่งลงทำการบ้าน หรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ห้างกับเพื่อนๆ เหมือนที่สเตซี่ทำ
ไม่ใช่ฉัน
ฉันกำลังขัดพื้นไม้ของชั้นสองอยู่ ฉันยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะต้องทำอาหารเย็น หลังจากเสิร์ฟอาหารเย็นเสร็จ ฉันก็จะไปทำงานที่โกดัง เท้าของฉันปวดเมื่อยเมื่อนึกถึงงานทั้งหมดที่ต้องทำ คือการแพ็กกล่องตลอดทั้งคืน งานมันหนักก็จริง แต่มันก็ยังดีกว่าอยู่ที่นี่ บางครั้งเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก็จะเอาอะไรมาให้ฉันกิน ท้องของฉันจะได้ไม่ร้องโครกครากทั้งคืน
ฉันถูกสามีภรรยาคู่หนึ่งรับเลี้ยงตอนอายุสามขวบ ทั้งหมดที่ฉันรู้ก็คือเขากับภรรยาเลือกฉันมาจากกลุ่มเด็กๆ ที่ถูกส่งตัวไป ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาพาฉันกลับบ้าน พวกเขาก็ปฏิบัติกับฉันเหมือนคนรับใช้มากกว่าลูกสาว
หลังจากจบชั้นมัธยมปีที่สอง ฉันก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะพวกเขารู้สึกว่าฉันเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นแล้ว ฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรมากไปกว่าการอ่าน เขียน และบวกลบเลข เพราะพวกเขาส่งฉันไปเรียนโรงเรียนที่แย่ที่สุดในเมือง
ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังรู้สึกขอบคุณเพราะมันทำให้ฉันได้ออกไปจากบ้าน ทุกวันฉันเดินข้ามเมืองไปโรงเรียนเพราะพวกเขาไม่ยอมขับรถไปส่ง ทุกวันพวกเขาบอกฉันว่าที่รับเลี้ยงฉันก็เพื่อที่จะได้มีคนทำงานบ้าน และเพื่อให้พวกเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สังกัดกลุ่มใดๆ ก็ตาม พวกเขาไม่เคยอนุญาตให้ฉันเรียกพวกเขาว่าพ่อกับแม่
“อาหารเย็นอยู่ไหน นังเด็กนั่น?!”
ฉันสะดุ้งกับเสียงของเขาแล้วเหลือบมองนาฬิกา มันยังไม่ถึงเวลาที่ฉันต้องเริ่มทำอาหารเย็นเลย ฉันได้แต่เดาว่าเขาคงกำลังอารมณ์เสียเรื่องอะไรบางอย่าง
“เร็วเข้าสิ!” ภรรยาของเขากรีดร้องมาจากชั้นล่าง “เรามีแขกจะมานะ!”
ฉันดันไม้ถูพื้นไปตามโถงทางเดินพร้อมกับถอนหายใจ ศีรษะของฉันปวดตุบๆ เมื่อคืนฉันแทบไม่ได้นอนเลย ปกติฉันไม่ค่อยได้นอนมากนักอยู่แล้วเพราะต้องทำงานกะดึก ไหนจะงานบ้านสารพัดที่ภรรยาของเขาสั่งให้ฉันทำอีก ฉันวางไม้ถูพื้นไว้ข้างๆ แล้วเดินลงไปข้างล่าง
เธอยืนอยู่ข้างโต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษที่มีตัวเลขและข้อมูลต่างๆ ส่วนเขานั่งมองเอกสารสองสามแผ่นในมือ
เธอหันมาจ้องฉันเขม็ง “มัวยืนทำอะไรอยู่ล่ะ รีบๆ ไปทำสิ!”
ฉันก้มหน้าแล้วหันไปยังห้องครัว ฉันเปิดตู้เย็นก็พบว่ามันว่างเปล่าเหมือนเมื่อเช้า เธอควรจะต้องไปซื้อของเข้าบ้าน ฉันให้เช็คของฉันกับเธอไปแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรเลย
ฉันไปที่ตู้กับข้าวเพื่อหาอะไรบางอย่าง แต่ทั้งหมดที่มีก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบแพ็ก
ฉันถอนหายใจอีกครั้ง ถ้าฉันอยู่คนเดียว ถึงแม้จะไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ฉันรู้ว่าฉันจะซื้อของที่ดีกว่านี้แน่ๆ ฉันจะได้กินดีอยู่ดี บางทีฉันอาจจะได้กินสเต็กด้วยซ้ำถ้าเก็บเงินได้มากพอ
ฉันหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองสามห่อกับหม้อออกมา พวกเขาเริ่มทะเลาะกัน แต่ฉันไม่ได้ฟังว่าพวกเขาพูดอะไร พวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำ ทะเลาะกันเรื่องเงิน เรื่องฉัน และเรื่องที่มันยากลำบากแค่ไหนกับการที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนในเมืองอย่างเป็นทางการ เราอยู่ในเมือง แต่เราก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองนี้ชื่ออะไรหรือใครเป็นคนดูแล แต่มันก็ไม่สำคัญ
พวกเขาก็ไม่ได้สนใจฉันเหมือนกัน ไม่มีใครในเมืองนี้สนใจคนที่ไม่ใช่คนท้องถิ่น
ฉันไม่มีใครเลยที่ห่วงใยฉันจริง ๆ ฉันอยากจะจากไปเสมอ ฉันคิดอยู่เสมอว่ามันต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้สำหรับฉันข้างนอกนั่น ฉันอาจจะหนีไปก็ได้ แต่ฉันรู้ว่าสุดท้ายฉันก็จะกลับมาที่นี่อยู่ดี ฉันเป็นแค่คนคนเดียว—ผู้หญิงอายุน้อย เปราะบาง ที่แทบจะไม่กล้าสบตาคนอื่น ฉันจะไปทำอะไรข้างนอกนั่นโดยไม่มีใครช่วยหรือปกป้องฉันได้?
ฉันเป็นคนขี้อายอย่างเจ็บปวด ฉันช่วยไม่ได้ แม้แต่ตอนที่ฉันไปทำงานที่ร้านกาแฟ ฉันก็พูดกับลูกค้าได้ไม่กี่คำ แม้ว่าพวกเขาจะใจร้ายกับฉันก็ตาม
ฉันส่ายหัวกับความคิดนั้น พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ปกป้องฉันเลย
ฉันไม่รู้สิ แต่ทันทีที่ฉันอายุสิบแปด ฉันจะไปจากที่นี่ได้ ไม่สำคัญว่าฉันจะไปที่ไหน ฉันจะเอาชีวิตรอดได้ยังไงสักทาง
เสียงกริ่งประตูดังขึ้นขณะที่น้ำเริ่มเดือด ฉันใส่บะหมี่ห่อลงในน้ำเดือด
“เข้ามานี่!”
ฉันปิดเตาแล้วเดินออกไป มีผู้ชายสามคนอยู่ที่นั่น สองคนตัวใหญ่มาก หนึ่งในนั้นมองมาที่ฉัน ริมฝีปากของเขากระตุกยิ้ม
“ผอมกว่าที่คุณบอกอีกนะ…”
ท้องไส้ฉันปั่นป่วน นั่นหมายความว่าอะไร? คนพวกนี้เป็นใคร? ฉันพยายามจะถาม สายตาฉันเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์บนเนกไทของผู้ชายคนนั้น
ฉันจำตราสัญลักษณ์นั้นได้ มันไม่ใช่ของตระกูลเจ้าของที่ดินในแถบนี้ แต่เป็นของกลุ่มอื่นที่ใครบางคนที่ทำงานเคยบอกให้ฉันระวังไว้ พวกเขาไม่ทำเรื่องดี ๆ แน่ แทนที่จะเป็นเจ้าของที่ดินเอง พวกเขามีข้อตกลงกับเมืองต่าง ๆ พวกเขาให้บริการบางอย่างแก่เมืองเหล่านั้นเพื่อแลกกับการที่สามารถทำธุรกิจในพื้นที่ได้
ยังไงไม่รู้ ฉันรู้ว่าอะไรก็ตามที่พาพวกเขามาที่นี่มันไม่ใช่เรื่องดี
“แล้วคุณแน่ใจนะ?” ชายคนนั้นถาม ยังคงมองมาที่ฉัน
“แน่นอนที่สุด” หล่อนพูด “นังนี่ไม่รู้จักใครเลย แม้แต่ที่ทำงานของมัน มันเป็นเหมือนหนูมากกว่าหมาป่าเสียอีก”
“เดี๋ยวก็รู้” เขาดึงกระเป๋าเอกสารออกมา “นี่เงินมัดจำ คุณจะได้ส่วนที่เหลือเมื่อนังนี่ถูกขายไปแล้ว”
เลือดในกายฉันเย็นเฉียบ ขายเหรอ? ขายให้ใคร? เพื่ออะไร? ฉันกลัวจนขยับตัวไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก เขาพยักพเยิดมาทางฉัน ฉันถอยหลังกรูดเมื่อชายสองคนที่มากับเขาเดินเข้ามาหาฉัน หนึ่งในนั้นคว้าตัวฉันไว้ ฉันพยายามบิดตัวออกจากมือเขา
“ป-ปล่อยฉันนะ” ฉันพูด
เขากระชากฉัน หมุนแขนฉันไปไพล่หลัง ฉันพยายามขัดขืน แต่ก็ทำไม่ได้
“ปล่อยฉันนะ! พวกคุณทำอะไรกัน?”
“ทันเวลาพอดีเลย!” ภรรยาของเขาพูดขณะดึงปึกเงินออกมาแล้วเริ่มนับ “นังเด็กเหลือขอนี่ก็เกือบจะหมดค่าอยู่แล้ว พวกนั้นไม่ชอบเด็กที่โตกว่านี้หน่อยเหรอ?”
หล่อนพูดถึงฉันหรือเปล่า?
“อะไร—อื้อ!”
ผ้าถูกยัดเข้ามาในปากฉัน ฉันบิดตัวพยายามจะดิ้นให้หลุด แต่พวกเขาแข็งแรงเกินไป เขากับภรรยาไม่ได้มองฉันเลยด้วยซ้ำ หล่อนนับเงิน เขาเดินเข้าไปในครัวแล้วกลับออกมาพร้อมกับชามบะหมี่
“มันอืดหมดแล้ว” เขาพ่นลมอย่างดูถูก “โง่เง่าจริง ๆ”
“นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราเคยทำมาเลยนะ” หล่อนพูด “เราน่าจะเก็บมาเลี้ยงมากกว่าหนึ่งคน”
เขาถอนหายใจ “น่าเสียดาย หวังว่าคนต่อไปจะทำอาหารดี ๆ เป็นบ้างนะ”
ชายคนที่วางเงินไว้บนโต๊ะขยับเนกไทของเขา
“ตราบใดที่นังนี่ขายได้ราคาดี หนี้ที่เหลือของคุณก็จะถูกจัดการ ส่วนที่เหลือหลังจากนั้นจะถูกนำมาให้คุณ”
ฉันยันเท้าไว้เมื่อพวกเขาดึงฉันไปทางประตู จากนั้น หนึ่งในนั้นก็อุ้มฉันพาดบ่า ขณะที่พวกเขาหามฉันออกไปทางประตู ฉันเหลือบไปเห็นปฏิทินบนผนัง ภรรยาของเขาชอบเขียนรายการงานให้ฉันทำแล้วติดไว้ตามวัน หล่อนจะขีดฆ่าวันที่ผ่านไปเพื่อบอกให้ฉันรู้ว่าเป็นวันอะไร
ฉันกรีดร้อง แต่ถนนหน้าบ้านว่างเปล่าขณะที่พวกเขาโยนฉันเข้าไปในท้ายรถ จากนั้นพวกเขาก็กระแทกฝากระโปรงปิดทับฉัน ทิ้งให้ฉันอยู่ในความมืดสนิท
วันนี้เป็นวันเกิดอายุสิบแปดปีของฉัน คนส่วนใหญ่ที่ฉันรู้จักในละแวกบ้านคงออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ฉลองกัน บางทีพวกเขาอาจจะไปเดทหรือในที่สุดก็ได้ออกจากบ้านไปเรียนมหาวิทยาลัย
ไม่ใช่ฉัน
ฉันกำลังจะถูกขาย