5.เทพีดจันทร์เก่า

“เราจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน” ฉันถาม

ปกติโทนี่ไม่เคยอยากอยู่ในโลกมนุษย์นานๆ เลยนะ ไม่ต้องพูดถึงบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วฉันก็คิดถึงกลิ่นป่ารอบๆ คฤหาสน์ของฝูงจะแย่

“หนึ่งเดือน” เขาตอบขณะที่เรารอลูซี่ออกมาจากห้องน้ำ “เธอต้องกินให้เยอะกว่านี้”

ฉันพยักหน้า “ก็จริง นายว่าเธอจะผ่อนคลายลงบ้างไหม”

“เธอคงไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”

ฉันแค่นเสียง “นายจำเป็นต้องทำตัวแบบนั้นด้วยเหรอ”

ลูซี่ออกมาเงียบๆ มองพวกเราเหมือนกลัวว่าเราจะกระโจนข้ามห้องไปตะครุบเธอ

“อาหารเย็น” โทนี่พูดพลางชี้ไปที่ถาดบนรถเข็น “กลับขึ้นเตียงไป”

เธอก้มหน้า ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว แล้วรีบวิ่งจู๊ดข้ามห้องไป เธอปีนกลับขึ้นไปบนเตียง ก่อนที่เธอจะทันเอื้อมมือไปหยิบถาด โทนี่ก็เปิดฝาครอบออกแล้ววางมันไว้บนตักของเธอแล้ว

“หมอบอกว่าเธอน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์” โทนี่พูด “จากนี้ไปเธอต้องกินอาหารอย่างน้อยวันละสามมื้อ”

เธอมองลงไปที่ถาด “นี่... คืออะไรคะ”

“สเต๊กกับมันฝรั่ง” แมตต์พูด “แล้วก็ผักโขมด้วย อะไรที่เกี่ยวกับสุขภาพทำนองนั้นแหละ”

ฉันยักไหล่ “ส่วนตัวฉันเกลียดผักโขมนะ เอาจริงๆ ทุกคนก็ควรเกลียดมันนั่นแหละ”

เธอจ้องฉันตาปริบๆ

“เธอเป็นแค่ครึ่งเดียว” โทนี่พูด “พวกเราอยู่ได้ด้วยเนื้ออย่างเดียว แต่เธอทำไม่ได้”

เธอมองสลับระหว่างเราสองคน แล้วก็ลดสายตาลงมองจาน

“กินซะ” โทนี่พูดแล้วนั่งลงอีกข้างหนึ่งของเธอ “เรามีเรื่องต้องคุยกัน และฉันอยากจะคุยตอนนี้เลย”

เธอหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มลงไปในมันบดก่อนจะตักเข้าปาก เธอมองพวกเราเหมือนกลัวว่าเราจะจับเธอกิน

โทนี่ถอนหายใจ “เธอรู้อะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอบ้าง”

เธอส่ายหน้า “ไม่รู้เลยค่ะ”

โทนี่ขบกรามแน่น ส่วนฉันก็ส่ายหน้า

“ฉันขอเล่าต่อเองแล้วกัน เพราะนายเล่าเรื่องดีๆ ไม่ได้หรอกถ้าไม่ทำเสียงขู่คำรามไปด้วยน่ะ ที” ฉันตบขาเธอเบาๆ “เราบอกเธอแล้วว่าพวกเราเป็นคนหมาป่า เธอเป็นครึ่งหนึ่ง มีบางอย่างที่เธอต้องเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราก่อนที่เราจะพาเธอกลับไปที่ฝูง เมื่อหลายพันปีก่อน เทพีจันทราองค์เก่าได้สิ้นพระชนม์ไป”

คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน ดูเหมือนเธออยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ได้แต่กินมันบดต่อไป

ฉันเล่าต่อ “ตอนที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพ พวกเราเป็นฝูงใหญ่ฝูงเดียวกัน แต่เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ พวกเราก็แตกแยกกัน ปัจจุบันนี้ มีฝูงจันทร์ทมิฬ ฝูงจันทร์โลหิต และฝูงจันทร์สีน้ำเงิน ฝูงจันทร์สีน้ำเงินเป็นฝูงที่ทรงพลังที่สุด”

เธอกะพริบตาแล้วก็กินผักโขมเข้าไปนิดหน่อย ฉันดูไม่ออกหรอกว่าเธอชอบมันหรือเปล่า แต่เธอก็ยังกินต่อไป

“เมื่อยี่สิบปีก่อน ฝูงจันทร์สีน้ำเงินแตกออก ก่อเกิดเป็นฝูงจันทร์สีน้ำเงินและฝูงจันทร์สีขาว ฝูงจันทร์สีขาวอ่อนแอกว่า และฝูงจันทร์โลหิตก็ฉวยโอกาสนี้ พวกมันโจมตีและขโมยพลังของฝูงจันทร์สีขาวไป”

คิ้วของเธอขมวดมากขึ้นเหมือนมีคำถามอีก ท่าทางเธอเหมือนไม่เชื่อคำพูดของฉันเลยสักคำ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร ในที่สุด เธอก็จิ้มส้อมลงไปในชิ้นสเต๊กแล้วพยายามจะยกมันขึ้นมาทั้งชิ้น

โทนี่คำรามแล้วแย่งส้อมไปจากมือเธอ “เธอหั่นสเต๊กไม่เป็นหรือไง”

เขาหั่นมันออกเป็นหลายชิ้นให้ขณะที่เธอก็ส่ายหน้า

เขาหรี่ตามองเธอ “หมายความว่ายังไง เธอใช้มีดไม่เป็นเหรอ”

เธอส่ายหน้า

ดวงตาเขากระตุก ส่วนฉันก็ยิ้มกว้าง “มีเวลาให้เรียนรู้อีกเยอะแยะ! แถวนี้เรากินสเต๊กกันเยอะ สงสัยนี่คงเป็นเหตุผลที่เธอผอมขนาดนี้ ไม่ค่อยได้กินเนื้อสินะ... ยังไงก็ตาม ฝูงไวท์มูนถูกทำลาย และองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของราชันย์ไวท์มูนก็หายสาบสูญไปในโลกมนุษย์”

โทนี่ส่งส้อมคืนให้เธอ และขณะที่เธอเริ่มกินชิ้นสเต๊ก เธอก็ยังคงดูสับสน

“มีคำถามอะไรไหม”

เธอส่ายหน้าแล้วกินต่อ จากนั้นโทรศัพท์ของโทนี่ก็ดังขึ้น แล้วเขาก็ออกไป

โทนี่

หลังจากป้อนข้าวเธอสามมื้อต่อวันมาหนึ่งสัปดาห์ หมอก็บอกว่าเธอแข็งแรงพอที่จะเดินไปไหนมาไหนได้บ้างแล้ว เธอยังคงผอมเกินไป แต่ความตกใจก็บรรเทาลงแล้ว

“เราจะไปชอปปิงกัน” ผมพูดขณะเดินเข้าไปในห้องของเธอ เธอยังไม่ขยับไปไหนจากจุดที่ผมทิ้งเธอไว้เมื่อเช้า แมตต์นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงข้างๆ เธอ เล่นกับผมหยิกสั้นๆ ที่ท้ายทอยของเธอ

เมื่อไหร่มันจะยาวสักทีนะ ผมได้ยินเสียงเขางอแงผ่านสายสัมพันธ์ของเรา

แมตต์ผุดลุกขึ้น ดวงตาเป็นประกาย “เยี่ยมเลย!”

ผมวางถุงเสื้อผ้าที่ผมเลือกมาให้เธอไว้ที่ปลายเตียง

“มีรองเท้าอยู่ข้างใน ไปเตรียมตัวซะ”

เธอไม่พูดอะไรขณะที่ค่อยๆ ลุกจากเตียง หยิบถุง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

“ยังไม่พูดอีกเหรอ” ผมถาม

แมตต์ยักไหล่ “ฉันก็ยังทำให้เธอหัวเราะไม่ได้เลยเหมือนกัน”

“นายมันไม่ตลกขนาดนั้นนี่”

สักพักเธอก็ออกมา กางเกงยีนส์ดูจะใหญ่ไปหน่อยสำหรับเธอ เสื้อก็เหมือนกัน แต่รองเท้าดูจะพอดี

ผมหวังว่าเราจะได้พาเธอไปชอปปิงอีกไม่ช้าก็เร็ว เธอไม่พูดอะไร นั่งอยู่ระหว่างเราขณะที่เราขับรถไปห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ดวงตาของเธอมองขึ้นไปยังตัวอาคารด้วยความประหลาดใจ

“เธอจำที่นี่ได้นี่” ผมพูดพลางมองเธอ “เคยมาที่นี่เหรอ”

เธอส่ายหน้าแล้วไม่พูดอะไร ผมไม่มีความอดทนพอที่จะถามเธออย่างนุ่มนวล เลยปล่อยให้แมตต์จูงมือเธอเข้าไปในร้าน

“ฉันคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ฉันว่าเธอจะดูดีมากในชุด...”

ผมไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูดมากเท่ากับท่าทีของเธอ เธอไม่พูดอะไรเลย เธอไม่ลังเลที่จะลองชุดไหนก็ตามที่เขายื่นให้ ดูเหมือนเธอจะไม่มีความชอบส่วนตัวด้วยซ้ำ แค่ยอมทำตามทุกอย่างอย่างว่าง่าย

เรากำลังรอเธอออกมาจากห้องลองชุด ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงแหลมๆ ดังขึ้น

“ลูซี่?” ผู้หญิงคนหนึ่งถามแล้วเริ่มหัวเราะ “ทำไมพวกเขาถึงปล่อยให้ขยะอย่างแกเข้ามาในห้างนี้ได้”

แมตต์ยืนขึ้นทันทีที่ผมเริ่มเดินข้ามร้าน มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ข้างผู้หญิงคนนั้น

ชายคนนั้นเอื้อมมือไปหาลูซี่ และก่อนที่เขาจะแตะตัวเธอได้ ผมก็คว้าแขนเขา บิดจนมันส่งเสียงดังกร๊อบ และเขาก็ร้องออกมาแล้วทรุดลงคุกเข่า

“เขาดูคุ้นๆ นะ” แมตต์พูดลอยๆ แล้วมองไปที่ลูซี่ “คนพวกนี้เป็นใครกับเธอ”

ลูซี่หลุบตาลง ริมฝีปากสั่นระริก แต่เธอไม่พูดอะไร

ผมบิดแขนชายคนนั้นแรงขึ้น “แกเป็นใคร แล้วรู้จักลูซี่ได้ยังไง”

“ผ-ผมไม่รู้จัก! ย-ยายคนนั้นต่างหากที่รู้จักเธอ!”

ผมหันไปมองผู้หญิงคนนั้นที่จ้องมองมาระหว่างผมกับแมตต์ แววตาส่วนหนึ่งหวาดกลัว อีกส่วนหนึ่งปรารถนา

“พูดมา”

“ฉ-ฉันรู้จักเธอ... สมัยเรียน... เมื่อนานมาแล้ว”

ผมเหลือบมองลูซี่แล้วหันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้น “คราวหน้าที่แกเห็นเธอ ออกไปจากตึกนี้ซะ”

ดวงตาของเธอเบิกกว้างขณะที่ผมปล่อยมือชายคนนั้น

“ไปให้พ้นหน้าฉัน”

เขาลนลานลุกขึ้นยืน แล้วทั้งคู่ก็รีบวิ่งออกไปทางประตู

이전 챕터
다음 챕터
이전 챕터다음 챕터