


บท 3
เมื่อไม่มีเศษกระเบื้องห่อหุ้ม น้ำชาหอมหวานก็ไหลนองอย่างไร้ทิศทางราวกับม้าป่าที่หลุดบังเขียน นางสกุลเจ้าที่ยังไม่ทันลุกขึ้นก็เปียกทั้งรองเท้าและถุงเท้าทันที
"เจ้าโง่เง่า แค่เก็บถ้วยชามยังทำไม่เรียบร้อย สมควรโดนตี"
ไม้เท้าสีดำในมือถูกยกขึ้นในที่สุด ฟาดลงบนตัวไต้เยวี่ยเหออย่างไม่ยั้ง ส่วนลู่จินกุ้ยที่อยู่ข้างๆ รีบลุกจากเก้าอี้ เดินอย่างรวดเร็วไปอีกด้าน
ถึงแม้จะเป็นแม่แท้ๆ แต่เขาก็กลัวว่านางจะพลาดมาโดนตัวเอง จึงหลบไปให้ไกลจะดีกว่า
ไต้เยวี่ยเหอที่กลัวมากอยู่แล้วจากการทำกาน้ำชาแตก ยังไม่ทันได้ย่อตัวลงเก็บเศษกระเบื้อง ก็ถูกไม้เท้าอันดุดันของแม่สามีทำให้ตกใจจนแข็งทื่อ
นางยืนนิ่งไม่ขยับ เกาะขอบโต๊ะอย่างงุนงง ปล่อยให้ไม้เท้าของนางสกุลเจ้าฟาดลงบนร่างกายเหมือนพายุฝน
ในที่สุดนางสกุลเจ้าก็หยุดมือ เพราะพบว่าสะใภ้มีเลือดไหลออกจากศีรษะ ก่อนจะล้มลงอย่างอ่อนระทวยเหมือนกระสอบขาด
"แย่แล้ว แย่แล้ว ข้าไม่ได้ตีนางตายหรอกนะ?"
จนกระทั่งได้ยินเสียง "ตุ้บ" ไต้เยวี่ยเหอล้มลงไปในกองเศษกระเบื้อง นางสกุลเจ้าจึงตกใจโยนไม้เท้าทิ้ง แล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นเปียกด้วยความหวาดกลัว
ตอนนี้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับจะกระโดดออกมาจากอก การฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถึงสะใภ้จะน่ารำคาญเพียงใด แต่ถ้านางตายอย่างนี้ ตนเองต้องติดคุกแน่
"แม่ อย่ากลัวไปเลย นางยังไม่ตายหรอก คงเป็นเพราะท่านตีที่ศีรษะจนนางสลบไป ข้าจะอุ้มนางกลับห้องก่อน ท่านจัดการตรงนี้ แล้วบ่ายนี้รีบไปหาคนเขียนหนังสือหย่า พอนางฟื้นเมื่อไร พวกเราก็ส่งนางกลับบ้านเดิมทันที จะตายหรือรอด ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราอีกต่อไป"
เพราะเคยเห็นโลกมามาก ลู่จินกุ้ยจึงไม่ตื่นตระหนกเหมือนมารดา แต่เดินไปที่ข้างกายไต้เยวี่ยเหออย่างใจเย็น ยื่นมือไปตรวจลมหายใจของนาง แล้วจึงถอนหายใจโล่งอก
จากนั้นเขาหันไปปลอบมารดาอย่างใจเย็น พร้อมกำชับไม่ให้ลืมเรื่องการหย่าภรรยา แล้วจึงอุ้มร่างเบาหวิวของไต้เยวี่ยเหอลุกขึ้น
"หา? ไม่ตาย ไม่ตายก็ดีแล้ว โอย เจ็บจริงๆ"
พอได้ยินว่าไต้เยวี่ยเหอไม่ตาย นางสกุลเจ้าก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ยันมือกับพื้นเพื่อลุกขึ้น
น่าเสียดายที่นางตื่นเต้นเกินไป จนลืมไปว่ายังมีเศษกระเบื้องอยู่บนพื้น เพราะออกแรงมากเกินไป มือจึงถูกเศษกระเบื้องยาวบาดลึก
"แม่ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?"
ลู่จินกุ้ยที่อุ้มไต้เยวี่ยเหออยู่ มีแววรำคาญวูบผ่านในดวงตา แต่สีหน้ากลับไม่แสดงอาการใดๆ แสดงความห่วงใยมองไปที่มารดา
ขณะถาม เขาก็เอียงศีรษะมองมือที่บาดเจ็บของนางสกุลเจ้า พบว่าเศษกระเบื้องปักอยู่ที่ข้อมือพอดี เลือดไหลเต็มฝ่ามือแล้ว สายเลือดหยดลงพื้นไม่หยุด รวมตัวกันเป็นลำธารเล็กๆ ไหลคดเคี้ยวบนพื้น
"ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบเอานางกลับห้องไป แล้วค่อยมาดูแลข้าก็ไม่สาย"
นางสกุลเจ้าจับข้อมือตัวเอง กัดฟันทนความเจ็บปวด สั่งลูกชายอย่างเร่งร้อน
ตอนนี้เสียเลือดแค่นี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือไต้เยวี่ยเหอต้องไม่ตายในบ้าน ลูกชายพูดถูก ต้องรีบโยนมันออกไปจึงจะดี
"ได้ ข้าจะวางนางแล้วรีบกลับมา"
กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นเหงื่อในอ้อมกอด ทำให้ลู่จินกุ้ยแทบจะอาเจียนอาหารกลางวันออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของมารดา เขารู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ จึงรีบอุ้มไต้เยวี่ยเหอเดินไปที่ห้องของพวกเขาโดยไม่หยุดฝีเท้า
เขาเตะประตูเปิด ก้าวเข้าห้องอย่างรวดเร็ว โยนไต้เยวี่ยเหอลงบนเตียงเหมือนทิ้งขยะ
จากนั้นก็วางนิ้วไว้ใต้จมูกของนางสักครู่ พบว่านางยังหายใจอยู่ จึงปิดประตูเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
ในห้อง ไต้เยวี่ยเหอบนเตียงกำลังจมอยู่ในภวังค์หลับลึก นางเหมือนฝันยาวนาน ในความฝัน มารดายังมีชีวิตอยู่ กำลังลูบผมนางอย่างเอ็นดู
ส่วนนางกลับกลายเป็นเด็กอายุห้าหกขวบ นอนเอื่อยๆ ในอ้อมกอดมารดา หรี่ตารับแสงอาทิตย์อุ่นๆ
มารดาไม่ได้พูดอะไรกับนางสักคำ นางก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพียงแต่ในขณะนี้ รู้สึกสงบ สบายใจ ไม่มีความกังวล ความเจ็บปวด หรือความระแวดระวัง
แต่ไม่รู้เมื่อไร นางค่อยๆ รู้สึกว่าแสงรอบตัวค่อยๆ มืดลง มารดาหายไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ส่วนนางรู้สึกหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับตกลงไปในห้องเย็นอันหนาวเหน็บ
ในที่สุด นางทนความเจ็บปวดที่เอวไม่ไหว เมื่อลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง สิ่งที่เห็นคือห้องที่นางอาศัยอยู่มาสามปี
แต่ต่างกันตรงที่ทุกครั้งก่อนนอนนางจะปล่อยม่านลง แต่ม่านตรงหน้ากลับแขวนอยู่สองข้าง
ไม่ทันได้สนใจว่าตนเองมาอยู่บนเตียงได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือไปคลำที่เอว
เศษกระเบื้องแข็งๆ ยาวๆ ชิ้นหนึ่งถูกดึงออกมา ความเจ็บปวดที่เอวลดลงทันที แม้จะยังปวดอยู่บ้าง แต่ภายใต้การทุบตีด่าว่าของนางสกุลเจ้ามาเป็นเวลานาน ร่างกายนี้ชินกับความเจ็บปวดเช่นนี้แล้ว
เพียงแต่ศีรษะมึนชา รู้สึกหนักมาก จนแทบยกคอไม่ขึ้น นางส่ายหัวอย่างอ่อนแรง
หันไปมองผ่านหน้าต่าง เห็นฟ้ามืดแล้ว และได้กลิ่นหอมของซุปดอกไม้ลอยมาเข้าจมูก นางตกใจรีบลงจากเตียง เปิดประตูจะไปเตรียมอาหารเย็น
"เอี๊ยด"
พร้อมกับเสียงประตูเปิด แม่ลูกที่นั่งตรงข้ามกันพัดพัดใบพุทรากันอยู่ในลาน ต่างหันมามองนางพร้อมกัน
เมื่อเห็นนางออกมาอย่างเรียบร้อย ทั้งสองคนก็โล่งอกอย่างอดไม่ได้ นี่ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ
"เยวี่ยเหอ เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?"
หลังจากมองตากันอย่างรู้กัน นางสกุลเจ้าประคองมือที่พันผ้าเรียบร้อยแล้ว พยายามสงบสติอารมณ์ถามไต้เยวี่ยเหอ
หนังสือหย่าอยู่ในแขนเสื้อแล้ว ถ้านางตอบคำถามได้คล่อง ก็จะรีบคว้าโอกาสส่งนางกลับบ้านเดิม
"เอ่อ ข้าแค่รู้สึกมึนศีรษะ ไม่สบายมาก ร่างกายก็เหนียวเหนอะ อยากอาบน้ำก่อนทำอาหารเย็น ท่านว่าได้ไหมเจ้าคะ?"
ไต้เยวี่ยเหอที่รู้สึกว่าตนเองลืมเรื่องสำคัญบางอย่าง ยื่นมือดึงแขนเสื้อที่พับไว้ลงมาช้าๆ
ขณะพยายามเรียบเรียงความคิด และนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทำไมสายตาของแม่สามีและสามีจึงแตกต่างจากปกติ
"เยวี่ยเหอ เจ้ายังจำได้ไหมว่าข้าเป็นใคร?"
เมื่อเห็นไต้เยวี่ยเหอมีอาการผิดปกติ นางสกุลเจ้าจึงแสดงสีหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ้มมองนาง
เด็กบ้านี่คงถูกตีจนโง่แล้วกระมัง ถ้าเป็นอย่างนี้ส่งกลับบ้านเดิม คงต้องยุ่งยากมาก
"จำได้สิเจ้าคะ ท่านคือแม่สามีนี่นา"
เมื่อเห็นแม่สามียิ้มหวานผิดปกติเป็นครั้งแรก ไต้เยวี่ยเหอตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ตอบอย่างหวาดกลัว
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจำอะไรหลายอย่างไม่ได้ ตัวเองสลบได้อย่างไร? ไต้เยวี่ยเหอกุมศีรษะย่อตัวลง