


บท 4
ฮวาสิบเจ็ด
ฮวาสิบเจ็ดตื่นขึ้นมาก็เห็นพี่ชายของตนกำลังประคองมือขวาที่ปักเต็มไปด้วยเข็มเงินอย่างระมัดระวัง ดูท่าทางอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ส่วนนาลั่นเจว๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เพิ่งถอนเข็มสุดท้ายออก เมื่อเห็นว่าเขาตื่นแล้ว ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายดาวที่แตกสลาย เธอส่งผ้าไหมที่ปักเสร็จแล้วให้ ฮวาสิบเจ็ดก้มลงมอง ทันใดนั้นดวงตาก็แดงขึ้น บนผืนผ้าไหมปรากฏภาพสาวงามในชุดสีแดงสดผมยาวสยาย ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนดอกท้อ เบื้องหลังเป็นเงาของชายหนุ่มที่ถือกิ่งท้อ มุมปากยกยิ้ม แต่ใบหน้าเลือนรางอยู่ใต้สายฝนดอกท้อ มองไม่ชัดเจน
แต่ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นฝังลึกจนแทบจะสลักลงกระดูก ในโลกนี้ มีบางสิ่งที่กาลเวลาไม่อาจทำให้จางหายไปได้
"ให้เจ้า อาหารคงสุกแล้ว ข้าจะไปยกมา เดี๋ยวพี่ร่วมสำนักของเจ้าจะมาเยี่ยม หากพวกเขาทำอะไรเกินเลยไป เจ้าไม่ต้องกลัว บอกข้า ข้าจะจัดการพวกเขาเอง!"
ประโยคสุดท้ายไร้ซึ่งความอ่อนโยน แฝงนัยอันดุดัน ฮวาสิบเจ็ดกะพริบตา เขาคล้ายได้ยินเสียงขบฟันดังกรอด คงเป็นเพราะตนเองได้ยินผิดไป ฮวาสิบเจ็ดลูบท้องของตัวเอง ยิ้มกว้างส่งนาลั่นเจว๋ยที่กำลังเดินจากไป แล้วหันไปมองฮวาเวิ่นไห่ ที่ยังคงทำหน้าไร้เดียงสา
"พี่ชาย..."
เสียงยังไม่ชัดเจนนัก ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับคำสองคำนี้มาก ราวกับตั้งแต่เริ่มมีความทรงจำก็รู้จักคำสองคำนี้แล้ว ฮวาเวิ่นไห่ใช้มือซ้ายที่ไม่ได้ถูกปักเข็มลูบศีรษะของฮวาสิบเจ็ด จูบที่หว่างคิ้วของน้อง ไม่ว่าฐานะจะเป็นอย่างไร แค่เพียงได้ยินคำว่า "พี่ชาย" นี้ ต่อให้ต้องทรยศตระกูล หรือแม้แต่ฆ่าญาติตัวเอง เขาก็จะไม่กระพริบตาเลยสักนิด
"สิบเจ็ดไม่ต้องกลัว พี่ชายจะอยู่เคียงข้างเจ้าเอง"
หลายคนที่แอบมองลอบดูอยู่นอกถ้ำหินถูกภาพความรักฉันพี่น้องนี้แทบจะแสบตา ในใจพลุ่งพล่านด้วยความอิจฉา น้องชายร่วมสำนักตัวน้อยของพวกเขาไม่จำพวกเขาได้ก็ช่างเถอะ แต่กลับสนิทสนมกับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้มาจากไหนถึงเพียงนี้ ช่างโหดร้ายเหลือเกิน พวกเขาไม่อยากรักใครอีกแล้ว!
"เฮ้อ จะดูก็เข้าไปดูสิ ถือโอกาสตอนที่อาจารย์ยังไม่ออกจากสมาธิ พวกเจ้าอย่าไปทำให้เขาตกใจล่ะ ไม่งั้น ข้าจะไม่ช่วยพูดแก้ตัวให้พวกเจ้าหรอกนะ"
อี้เยี่ยโกวฟานกระแอมเบาๆ ช่างน่าอายจริงๆ คนตรงหน้าพวกนี้ ใครบ้างที่ไม่ใช่ผู้มีวรยุทธ์เหนือฟ้าฝ่าด่านเล่ยเจี้ยมาแล้ว แต่กลับมาทำตัวแอบๆ มองๆ เขาในฐานะพี่ใหญ่ก็ทนดูไม่ได้แล้ว
แต่คิดไปก็เข้าใจได้ เพราะความรู้สึกลังเลเมื่อใกล้บ้าน คนที่พวกเขาเคยทะนุถนอมสุดหัวใจต้องตายอย่างทรมานต่อหน้าต่อตา การลงทัณฑ์อันโหดร้ายนี้ทรมานพวกเขามาสามร้อยปี ก็สมควรพอแล้ว
"คนเยอะจัง..."
แม้ฮวาสิบเจ็ดจะมีรูปร่างเหมือนเด็กเจ็ดขวบ แต่จิตใจของเขายังไม่สมบูรณ์ เมื่อเห็นคนมากมายเดินเข้ามา เขาก็หดตัวเข้าไปในอ้อมอกของฮวาเวิ่นไห่ด้วยความหวาดกลัว คนแรกที่เขาเห็นตอนลืมตาก็คือฮวาเวิ่นไห่ สำหรับเขาแล้ว ฮวาเวิ่นไห่เป็นทั้งพ่อและพี่ชาย การพึ่งพาโดยสัญชาตญาณก็เป็นเรื่องปกติ
"น้องเล็กไม่ต้องกลัวนะ พี่ๆ จะไม่ทำร้ายเจ้าหรอก!"
"ใช่ๆ ดูนี่สิ แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล อร่อยมากเลย พี่ตั้งใจหามาให้เจ้าโดยเฉพาะ"
"แล้วนี่อีกอย่าง ขนมเม็ดสน นุ่มๆ หนึบๆ อร่อยมาก เจ้าต้องชอบแน่ๆ"
"น้องเล็ก..."
อี้เยี่ยโกวฟานถอนหายใจยาว พวกเขาเหล่านี้ล้วนเคยเป็นยอดคนของยุคสมัย แต่บัดนี้กลับทำตัวเด็กๆ เช่นนี้ คิดไปก็ไม่รู้ว่าเมื่ออาจารย์ออกจากสมาธิจะเป็นอย่างไร นาลั่นเจว๋ยถือถาดอาหารเดินเข้ามา มองดูคนในถ้ำหินที่กำลังงุนงง ดวงตาของเธอก็เจือรอยยิ้ม
"สิบเจ็ด ไปพบพี่ร่วมสำนักของเจ้าสิ!"
ฮวาเวิ่นไห่อุ้มฮวาสิบเจ็ดไปนั่งที่ขอบเตียง แม้จะดูประหลาดอยู่บ้าง ประหลาดเหมือนหญิงสาวที่เพิ่งคลอดลูกกำลังอยู่ไฟ ฮวาเวิ่นไห่ที่ขมวดคิ้วกับความคิดของตัวเองพยักหน้ายิ้มให้กับทุกคน สถานะของเขายังคงกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ไม่สะดวกที่จะพูดมาก พวกนี้ดีกับน้องชายของเขา เขาย่อมไม่ขัดขวาง
"ขอบคุณ..."
ฮวาสิบเจ็ดมองของขวัญที่กองเป็นภูเขาลูกเล็ก พึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยดี จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นทำให้บรรดาพี่ร่วมสำนักใจสั่นไปตามๆ กัน มีหลายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็มีหลายอย่างที่แม้ไม่เคยเห็นแต่กลับรู้จักและคุ้นเคย
"น้องเล็ก เรียกพี่ชายสักหน่อยได้ไหม?"
มีคนพูดขึ้นมาทันใดนั้น อี้เยี่ยโกวฟานและนาลั่นเจว๋ยที่อยู่นอกถ้ำหินต่างสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาพร้อมกัน พวกนี้ช่างกล้า น้องเล็กยังไม่ทันเรียกเขาว่าพี่ชายเลย พวกเขามองตากันแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจกัน ดูเหมือนช่วงนี้น้องๆ จะเฉื่อยชาไปมาก จำเป็นต้องช่วยพวกเขายืดเส้นยืดสายสักหน่อยแล้ว ไม่เช่นนั้นการไร้มารยาทเช่นนี้ออกไปข้างนอกจะทำให้อาจารย์เสียหน้า
"พี่ชาย!"
เสียงใสๆ ทำให้หลายคนตื่นตัว แม้แต่หางตาก็แดงขึ้น แทบจะในเวลาเดียวกัน หลายคนรู้สึกหนาวสันหลังวูบ มีความรู้สึกเหมือนหายนะกำลังจะมาเยือน อี้เยี่ยโกวฟานเตรียมจะพูดคุยกับน้องๆ อย่างลึกซึ้ง สอนให้พวกเขาเข้าใจถึงการเคารพอาจารย์ แต่นาลั่นเจว๋ยได้เดินเข้ามาในถ้ำหินแล้ว ดวงตาอ่อนโยนจนทำให้หลายคนขนลุกซู่ แทบจะวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
เพียงชั่วอึดใจ ถ้ำหินที่คึกคักก็กลับเงียบเหงา ฮวาเวิ่นไห่ดูเหตุการณ์อย่างสนุกสนาน ได้กลิ่นอาหารหอมฟุ้ง ก็รู้สึกว่าท้องว่างโหวง จำเป็นต้องบูชาเสียหน่อย จึงไม่เกรงใจ ป้อนน้องชายให้อิ่มก่อน แล้วจึงกินอย่างตะกละตะกลาม ความหดหู่เมื่อไม่กี่วันก่อนหายไปสิ้น ราวกับได้เกิดใหม่
"ต่อไปเจ้ามีแผนอย่างไร?"
"ขวนขวายฝึกวรยุทธ์ สิบเจ็ดน้อยเป็นที่รักของทุกคน หากข้าไม่พยายามให้แข็งแกร่ง ต่อไปจะปกป้องเขาได้อย่างไร แล้วจะคู่ควรที่จะยืนเคียงข้างเขาได้อย่างไร?"
ฮวาเวิ่นไห่ยิ้มอย่างเปิดเผย ไร้เงาแห่งความหม่นหมองในแววตา นาลั่นเจว๋ยรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้ฉลาดคนนี้คงเดาบางอย่างออกแล้ว ดูเหมือนเธอจะมีน้องชายร่วมสำนักเพิ่มอีกคน
วันหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในถ้ำหินเหลือเพียงพี่น้องฮวาเวิ่นไห่และฮวาสิบเจ็ด ไม่รู้ว่าจางอิ่งฝึกวรยุทธ์ไปถึงไหนแล้ว จะรู้หรือไม่ว่าเขากับสิบเจ็ดตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้ ฮวาเวิ่นไห่ไม่ชอบการกระทำของตระกูล แต่สำหรับพี่น้องเขาใจกว้างเสมอ การหลบหนีในช่วงหลายวันที่ผ่านมาและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้สมองของเขายังตั้งตัวไม่ทัน คิดไปก็คงเป็นโชคชะตาของเขากระมัง
"ความรักของพวกเขาแน่นแฟ้นเกินกว่าที่เราคาดคิด ดูเหมือนจะต้องรอให้อาจารย์ออกจากสมาธิมาตัดสินแล้ว"
อี้เยี่ยโกวฟานมองสองพี่น้องที่นอนเอนซบกันบนเตียงหิน ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา น้ำเสียงมีความขมขื่น เขาก็อยากกอดน้องเล็กนอนบ้าง!
"เขาล่องลอยอยู่ตัวคนเดียวมาสามร้อยปี คนแรกที่ได้พบย่อมเป็นคนพิเศษ การพึ่งพาบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ว่า ข้ารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก หากเกิดความคิดผิดพลาดแม้เพียงนิด อาจจะทำร้ายน้องเล็กได้"
นาลั่นเจว๋ยพูดพลางปักเข็มเงินสิบสองเล่มลงบนหลังของอี้เยี่ยโกวฟาน เจ็บจนใบหน้าหล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยว แต่ยังต้องกัดฟันแน่นไม่ให้ตัวเองร้องออกมา หากรบกวนน้องเล็กถือเป็นบาปใหญ่ บาปมหันต์ อาจถึงตายได้!
"เจ้าทำแบบนี้ตั้งใจแน่ๆ แค่คิดเฉยๆ เองนะ ผู้หญิงใจแคบ!"
"ขอบคุณสำหรับคำชม! เข็มเงินต้องปักครบสิบสองชั่วยามจึงจะถอนออกได้ ก่อนถึงตอนนั้น พี่ใหญ่โปรดรักษาตัวให้ดีนะ!"
"อีกอย่าง หากทำเข็มหลุดแม้แต่เล่มเดียว ก็ต้องเริ่มปักใหม่ทั้งหมดนะ!"
นาลั่นเจว๋ยรับคำชมของอี้เยี่ยโกวฟานโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า หมุนตัวเดินจากไป เมื่อใกล้ถึงทางเลี้ยว เธอหยุดฝีเท้า หันกลับมายิ้มอย่างอ่อนโยน ยิ้มจนอี้เยี่ยโกวฟานรู้สึกหนาวสันหลังวาบ ได้ยินเพียงเสียงแผ่วของหญิงสาวลอยเข้าหู ทำให้อี้เยี่ยโกวฟานแทบจะกระอักเลือดตายด้วยความเศร้าโศก!