บทที่ 4 ตอนที่3
“แต่”ฉันกำลังจะแย้งพี่เคแต่ก็โดนพี่เคยกมือขึ้นห้ามฉันพูดไว้ซะก่อน ฉันจึงต้องเม้มปากเป็นเส้นตรงแน่นและหยุดพูดลงทันที
“ลุกขึ้นยืน!!”
“เตรียม!!”พี่เคตะโกนเสียงดังสั่งปีหนึ่งทั้งหมด ทุกคนก็รีบลุกขึ้นยืนตรงจัดแถวอย่างเป็นระเบียบอย่างรวดเร็ว
“ถอยหลังไป!!”พี่เคตะโกนและเดินเข้าไปหาปีหนึ่งแถวหน้าและเดินเข้าไปเรื่อยๆจนปีหนึ่งด้านหลังสุดต้องค่อยๆถอยหลังไปตามคนด้านหน้าที่ถอยหลังไปเรื่อยๆจนออกไปจากลานเกียร์แห่งนี้
“อย่าร้อง”เสียงพึงพำเอ่ยออกมาจากพี่ชายสุดที่รักของฉันที่ยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ พี่ปอนกำลังบอกให้ฉันอย่าร้อง ฉันจึงพยักหน้ารับคำพี่ปอนและสูดน้ำตาน้ำมูกให้ไหลกลับเข้าไปด้านใน
“อีก!!”เสียงพี่เคตะโกนดังจนฉันรู้สึกว่าแก้วคอเขาจะแตกไหมแต่ฉันจะห่วงเขาทำไมในเมื่อเขาเองก็ทำเหมือนไม่รู้จักฉันทั้งๆที่ตอนกลางคืนเรานอนด้วยกันแทบทุกคืน
“นั่งลง!!!”สิ้นเสียงของพี่เค เพื่อนๆทั้งหมดก็ต่างพากันหันมองหน้ากันและกันก่อนจะต้องจำใจนั่งลงบนพื้นดินกลางสนามของคณะวิศวะที่ไม่ได้อยู่ในลานเกียร์ที่มีร่มไม้ของต้นไม้ใหญ่ให้พวกเราได้หลบร่มแล้วที่บนลานเกียร์จะถูปูด้วยพื้นปูนซีเมนต์อย่างดี และตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมง แดดบ่ายสองโมงมันกำลังร้อนแค่ไหน
“นั่งตรงนี้….20นาที!!”พี่เคเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหลังเดินกลับมาหาฉัน
“ส่วนคุณ!!”
“ป้ายชื่อหายหรือลืมไว้ที่ไหน?”เขาถามฉัน ฉันก็อ้ำๆอึ้งๆเพราะจำไม่ได้ว่าฉันไปลืมไว้ที่ไหนหรือที่ฉันอาจจะทำหายไปเมื่อวานตอนเย็นหลังเลิกประชุมเชียร์ฝนตกหนักมากและฉันก็วิ่งหลบฝนเหมือนคนอื่นๆแต่แปลกตรงที่พอรู้ตัวอีกทีป้ายชื่อของฉันก็หายไปแล้ว
“ไปวิ่งรอบสนามยี่สิบรอบ!”พี่เคตะโกนสั่งฉันทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขาทั้งน้ำตาแล้วทีนี้ เขาก็มองหน้าฉันกลับแววตาเรียบเฉยไม่ได้ปรากฏความรู้สึกอะไรออกมา ฉันจึงต้องจำใจกัดฟันและกลั้นน้ำตาที่เหลือไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีก
“ค่ะ!”ฉันตะโกนตอบรับพี่เคไปและจัดการหันหลังออกมาและวิ่งลงไปยังสนามของมหาลัยเอกชนชื่อดังแห่งนี้ทันทีที่มีเนื้อที่กว่าสิบไร่ฉันวิ่งไปตามลู่วิ่งลานกรีฑาที่พื้นลู่วิ่งทำจากยางสังเคราะห์ ตรงใจกลางของสนามแห่งนี้เป็นสนามหญ้ารอบๆมีลู่วิ่งมีอัฒจรรย์ให้นักศึกษาได้นั่งมีร่มให้ได้หลบทั้งสี่ทิศและแดดตอนนี้ช่างร้อนเสียจริง…
……………………………………………………
เค ไตรนภพ……
“ที่ผมสั่งทำโทษพวกคุณ!!”
“รู้ไหมว่าเพราะอะไร!!”ผมตะโกนเสียงดังถามรุ่นน้องปีหนึ่งไป ทุกคนก็ต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม
“เพราะพวกคุณ….ขาดความสามัคคี!”
“คิดจะเอาตัวเองรอดเพียงอย่างเดียว!!”
“แล้วอย่างนี้….จะให้ผมว่ายังไง!!”
“SOTUS!!”
“พวกคุณรู้ความหมายของคำคำนี้ไหม!!”
“ถ้าไม่รู้!!”
“ลุกขึ้น!!”ผมตะโกนเสร็จปีหนึ่งเกือบสามร้อยคนก็ลุกขึ้นยืนตรงอย่างรวดเร็วใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำไป
“จัดแถว!!”ผมสั่งเสียงดังหน้าตาเข้มขรึมจนน่ากลัว
“จัดแถว!”ปีหนึ่งก็รับคำผมและจัดการจัดเรียงแถวตัวเองให้เป็นระเบียบ
พรึบๆๆๆๆ
“บูม!!!”ผมเอ่ยสั่งคำลงโทษให้พวกปีหนึ่งไป
“บูม!”ปีหนึ่งก็รับคำผมและจัดการเอามือไขว้หลังของคนที่อยู่ข้างๆของตัวเองทันทีและทุกคนก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะบูม
“บูมโซตัส!!”ผมสั่งให้น้องๆบูมโซตัสความหมายของ SOTUS
“บูมโซตัส!!”ปีหนึ่งทุกคนก็ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน
“สาม…สอง!!”สิ้นเสียงผมปีหนึ่งทุกคนก็เริ่มบูมโซตัสตามที่ผมสั่ง โดยมีผมยืนเอามือไขว้หลังมองการกระทำของน้องๆที่ยังคงขาดความสามัคคีและความพร้อมเพรียงแต่ถือว่ามันดีกว่าตอนแรกๆมากแล้ว
“ดังกว่านี้อีก!!”
“เข้มแข็งกว่านี้อีก!!!”ผมตะโกนเสียงดังเพื่อให้ปีหนึ่งบูมให้แข็งแกร่งกว่านี้อีกและสายตาของผมก็มองไปเห็นผู้หญิงในชุดนิสิตนักศึกษาที่เอามือหนึ่งไขว้หลังและอีกมือกอดคอกับเพื่อนคนข้างๆของเธอและตะโกนเสียงดังออกมาตามที่เพื่อนๆของเธอร้องตะโกน ทำให้ผมเผลอยิ้มและส่ายศีรษะออกมาใยไหม….วิศวะปีหนึ่ง…
พรึบ
“ไอ้เค!”
“ว่า?”ผมหันไปมองยังเสียงที่เรียกผมพร้อมแรงสะกิดไหล่ผม มันคือไอ้ปอนเพื่อนผมเอง
“มึงบ้าป่ะเนี่ย!”ไอ้ปอนเอ่ยถามผมมาพลางทำสีหน้าไม่พอใจใส่ผมที่สั่งให้น้องมันไปวิ่งรอบสนามกีฬาแบบนั้น ผมก็หันไปมองยังคนร่างเล็กที่แสนคุ้นตาผมที่กำลังวิ่งอยู่ในลู่วิ่งของสนามเวลาเธอไปอยู่ที่ใหญ่ๆกว้างๆแบบนั้นมองแล้วเธอตัวเล็กนิดเดียวเองนะ
“ก็น้องมึงทำผิด…”ผมพูดเสียงเรียบ
“ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร….ถ้าทำผิดก็ต้องโดนลงโทษทั้งนั้น…”ผมตอบไอ้ปอนไปและละสายตาจากมันหันกลับไปมองน้องๆพี่หนึ่งบูมโซตัสกันอย่างขมักเขม่น
“พอ!!”ผมตะโกนสั่งทำให้น้องๆต่างพากันหยุดและยืนตรงจัดแถวเป็นระเบียบเพราะถ้าไม่เป็นระเบียบก็จะต้องโดนบูมต่อ
“นั่งลงตรงนี้….ยี่สิบนาที!!”ผมเอ่ยสั่งน้องปีหนึ่งไป
พรึบๆๆๆ
