บทที่ 5 Bro. ล้ำเส้น -4-1
4
ล้ำเส้น
ผมตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ดังขึ้นมาจากไหนสักที่
อึก....
สัมผัสแรกที่ลืมตาขึ้นมาคือความเจ็บที่ยากจะบรรยาย สะโพกปวดหนึบจนแทบขยับตัวไม่ไหวแล้วยังมีท่อนแขนหนักๆ กดทับที่หน้าอกอีก จะฆ่ากันหรือไง ผมจับแขนพี่กันต์ออกอย่างไม่พอใจ ค่อยๆ ดันร่างกายที่บอบช้ำไปทั้งตัวขึ้นจากเตียง เดินโซเซเข้าห้องน้ำ
ตามเนื้อตัวผมเต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำๆ นึกถึงฉากรักที่เร่าร้อนของพี่กันต์เมื่อคืนแล้วไขสันหลังก็เย็นเฉียบ ขนลุกไปทั้งตัว ผมรีบส่ายหน้าไล่ความคิดอกุศลออกจากหัว รีบเปิดฝักบัวหวังให้น้ำอุ่นๆ ช่วยชำระล้างคราบไคลและความหดหู่ออกไป
แต่น้ำอุ่นไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
ผมแทบจะตายคาห้องน้ำ เอาตรงๆ ตอนนี้ผมทั้งเพลียทั้งเจ็บตามเนื้อตัว ไม่อยากทำอะไรเลย แต่พอก้าวออกมาจากห้องน้ำเห็นพี่กันต์นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง เนื้อตัวเปลือยเปล่าท่อนล่างซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนหลับสบายอยู่บนเตียงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เลือดในร่างกายก็เดือดปุด อยากตรงเข้าไปกระชากเขาขึ้นมาอัดสักทีสองทีแต่เรี่ยวแรงผมตอนนี้ลำพังแค่จะเดินให้ตรงยังยาก
ผมข่มอารมณ์โกรธเอาไว้อย่างทำอะไรไม่ได้ เก็บกระเป๋าออกจากห้องเงียบๆ และไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีก ตอนนี้แม้แต่หน้าพี่กันต์ผมยังไม่อยากเจอ
DingDong! ~
“มะหาใคร... อ้าวเอิร์ธ?”
แฟนตะวันที่อยู่คนละคณะเปิดประตูออกมาเห็นผมแล้วทำหน้าแปลกใจใส่ ผมก็แปลกใจเช่นเดียวกันที่เห็นเธอออกมาจากห้องของตะวัน เราสองคนต่างมองสบตากันอย่างงงๆ ทำอะไรไม่ถูกทั้งสองฝ่าย
“ตะวันล่ะ”
“ตะวันเพิ่งออกไปเมื่อกี้น่ะ ไม่โทรคุยกันเหรอ”
“โทษที” ผมมองบีบีที่อยู่ในชุดนอนอย่างพอเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่ตะวันจะเอาแฟนมานอนห้อง ผมต่างหากที่แปลก จู่ๆ ก็หอบกระเป๋ามาหาตะวัน ให้ตาย ตอนนี้ผมนึกถึงใครไม่ออกจริงๆ นอกจากเพื่อนที่สนิทอย่างมัน ผมยิ้มจืดๆ ให้บีบีแล้วเดินพยุงร่างที่หนักอึ้งของตัวเองออกมา โบกแท็กซี่ไปมหาลัยพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าอีกสองใบ
หอพักตะวันอยู่ไม่ห่างจากมหาลัยเท่าไหร่ เดินก็ถึงแต่สังขารผมตอนนี้มันไม่ไหวจริงๆ ผมให้คนขับมาส่งหน้าตึกคณะแล้วหอบกระเป๋าขึ้นมานั่งพักที่ม้านั่งใกล้ๆ กำลังคิดว่าจะไปไหนดีโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นซะก่อน
ตะวันโทรมา ผมกดรับอย่างไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
(บีบีบอกกูว่ามึงมาหาที่ห้อง มีอะไร)
“อ่อ แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน”
(โรงอาหาร)
“กูว่าจะไปขอค้างที่ห้องสักวันสองวันแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
(เฮ้ย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า)
ผมนิ่งเงียบ... นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมันอัดอั้นในอก อยากพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ให้ตายเถอะ คิดแล้วน้ำตาจะไหล
“แค่อยากหาที่อยู่ใหม่” ผมพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น ยิ่งคิดว่าตัวเองเพิ่งจะเสียตัวให้ผู้ชายด้วยกันมามันก็ยิ่งเจ็บซ้ำระกำใจ
(หรือว่ามีปัญหากับพี่กันต์ เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนหรือเปล่า)
“อืม”
ผมเคยเล่าเรื่องครอบครัวใหม่ให้หมอนั่นฟัง และคงพูดถึงพี่กันต์ด้วยแต่ก็จำรายละเอียดอะไรไม่ค่อยได้แล้วละเพราะมันก็สองปีมาแล้ว
(ตอนนี้มึงอยู่ไหน)
“ข้างตึก”
ปลายสายวางไปแล้ว คิดว่าตะวันคงรีบมาหาผม ผมลดโทรศัพท์ลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ในโพรงจมูก
“เฮ้ยอะไรเนี่ยเอิร์ธ ทำไมกระเป๋าเยอะแยะแบบนี้วะ”
ไม่นานตะวันก็โผล่มา หมอนั่นทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วมองสำรวจกระเป๋าบนโต๊ะอย่างสงสัย
“ไหวเปล่าวะ หรือว่าไม่สบายวะ ทำไมหน้ามึงซีดเป็นไก่ต้มงี้”
“ไม่เป็นไร แค่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า” ผมพูดเรื่องจริง ถ้าได้กินข้าวอาจจะดีขึ้น
“เออก็ไปกินสิวะ มาๆ กูช่วย นี่มึงเอาจริงเหรอวะ ทะเลาะอะไรกันรุนแรงขนาดที่ต้องรีบขนของออกมาเลย? แล้วนี่ที่บ้านมึงรู้หรือเปล่า”
ตะวันหอบกระเป๋าผมขึ้นไปสะพายจนเต็มไหล่ทั้งสองข้าง ผมแทบจะเดินตัวปลิว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังสะเทือนบั้นท้ายอยู่ดี เดินตามหลังตะวันไปเงียบๆ ขณะที่มันพล่ามไม่หยุดปากตลอดทางจนถึงโรงอาหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกล ข้ามถนนมาอีกฝั่งก็เจอแล้ว
“ข้าวมันไก่ทอด กับหมี่กรอบหมู มึงซื้อให้กูหน่อย กูจะไปซื้อน้ำ”
ผมหยิบเงินในกระเป๋าให้ตะวัน มันมองท่าทางที่เหมือนจะไหวของผมแล้วรับเงินเดินไปซื้อข้าวให้ผมอย่างไม่บ่น โชคดีจริงๆ ที่มีมันเป็นเพื่อน ผมถอนหายใจก่อนจะเดินไปซื้อน้ำที่ร้านใกล้ๆ ร้านนี้ไม่ต้องแลกคูปองก็เลยสบายไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาให้ระบมก้นหลายรอบ
“เออ พอจะมีที่ดีๆ แนะนำไหม เอาที่ไม่แพงมาก”
ผมถามตะวันหลังกินหมี่กรอบหมด ดึงจานข้าวมันไก่มาจัดการต่อ ตะวันทำหน้าครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยขึ้นมา
“อยู่กับกูก่อนไหมล่ะ ระหว่างนั้นถ้ามึงไม่โอเคค่อยหาห้องใหม่”
“เฮ้ย เกรงใจ บีบีจะว่ายังไงวะ”
“บีบีมีห้องพัก ไม่ได้อยู่กับกูทุกวัน”
“ก็นั่นแหละ คนเป็นแฟนกันจะมาหากันที่ห้องเมื่อไหร่ก็ได้ไหมวะ แล้วกูอยู่เวลาพวกมึงจะสวีทกันทำไง”
“เอ้าไอ้นี่ กูก็ไปสวีทที่ห้องบีบีแทนสิ จะยากอะไร”
เออ ที่ตะวันพูดมาก็ถูก ผมจะคิดมากทำไมวะ
“งั้นก็ตามนี้ กูขอไปอยู่กับมึงสักพักแล้วกัน”
“อืม กินเสร็จค่อยเอาของไปเก็บ”
