บทที่ 5 ระลึกความหลัง -2

ปาย : พี่คุยกับไลท์แล้วใช่ไหม

ข้อความจากปายเด้งขึ้นในตอนบ่ายของวันต่อมา

ไนท์ : อืม มึงรู้อยู่แล้ว?

ปาย : (สติ๊กเกอร์แมวเหมียวค้อมหัวขอโทษ)

ไนท์ : ไม่เป็นไร

ปาย : แล้วพี่ตอบมันว่าไง

ไนท์ : มึงไม่รู้?

ปาย : ผมจะรู้ได้ยังไง

หลังจากนั้นมันก็วีดีคอลมาเหมือนร้อนใจ ผมไม่ได้ตั้งตัวแต่ก็ไม่ติดขัดอะไร จึงกดรับสาย

[พี่]

“อืม” ผมมองผ่านกล้องอย่างไม่ใส่ใจ

[ผมไม่รู้จริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้คุยกับมันเลย]

“ทำไมไม่รอถามกับมันล่ะ”

ได้ยินคำถามผม ฝ่ายตรงข้ามก็ชะงักงันไปชั่วครู่

[ผมทำพี่โกรธหรือเปล่า]

“เปล่า แค่ประหลาดใจ ไม่คิดว่ามันจะใช้มึงเข้าหากู”

[พี่… ยังโกรธเรื่องเมื่อตอนนั้นอยู่ใช่ไหม]

“กูเคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ ช้าเร็วมันก็ต้องเกิดขึ้น”

[แต่ถ้าตอนนั้นผมไม่…] ปายหยุดคำพูดตัวเองกลางคัน แววตาที่มองมายังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด […ผมควรปกป้องพี่]

ผมแทบขำกลิ้งกับท่าทางเอาจริงเอาจังของมัน แต่ก็ระงับเอาไว้กระตุกยิ้มมุมปากน้อยๆ

“เด็กน้อย ตอนนั้นมึงอายุเท่าไหร่ คิดจะปกป้องกู”

ถูกผมพูดใส่ ปายก็ถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก ผมไม่อยากแกล้งมันแล้ว เอ่ยอย่างจริงจัง

“เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วจะฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไม เลิกโทษตัวเองได้แล้ว กูไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย”

[ผมคิดว่าพี่โกรธ… ตลอดมาผมไม่กล้าไปเจอพี่ ผมขอโทษ] มันใช้โอกาสนี้ขอโทษขอโพยผมชุดใหญ่ แววตาแสดงออกชัดถึงความจริงใจ อยากที่จะชดเชยความผิดตัวเอง ทว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรจากมันเลย

“อืม กูยกโทษให้ เลิกฟูมฟายได้ยัง” ผมบอกอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนถ้าไม่พูดออกไปชัดๆ อีกฝ่ายก็คงจะโทษตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น แววตาของปายทอประกายเหมือนปลาได้น้ำทันที

[งั้น… งั้นผมคุยกับพี่ได้ใช่หรือเปล่า]

ผมชะงัก ไม่แน่ใจว่าขอบเขตของคำว่า ‘คุยกับพี่’ ของปายคือแค่ไหน แต่ช่างเถอะ คุยกันในระดับไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาใคร่ครวญให้เสียเวลา พยักตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ

“อืม”

หลังจากวันนั้นปายก็โทรหาผมบ่อยๆ ผมไม่ใช่คนเสียมารยาทกับเด็กน้อยหน้าตาดี คุยเล่นเป็นเพื่อนมันพอหอมปากหอมคอ

[วันนี้ผมว่าง แถวที่พี่อยู่มีอะไรเด็ดๆ บ้าง]

“ร้านกูไง”

[ไม่เอาดิ ผมอยากกินข้าว]

“ร้านกูมีข้าวขาย”

[ฮ่าๆ กินข้าวกลางดึกเหรอ ผมได้เป็นกระเพาะกันพอดี]

“หึ” ผมยิ้มมุมปาก ยังไม่ทันเอ่ยอะไร ปายก็พูดต่อ

[ผมไปหาพี่ แล้วทำอะไรกินเองดีไหม]

“หืม…” ผมคิดไม่ถึง ยังไม่ทันย่อยคำพูดของปาย อีกฝ่ายก็รีบเอ่ยต่อเหมือนกลัวผมปฏิเสธ

[หรือว่าจะมาห้องผมก็ได้ …ถ้าพี่ว่าง]

ผมเลิกคิ้ว คำชวนนี่จะให้คิดว่ายังไง ขณะที่ยังไม่แน่ใจกับเจตนาของอีกฝ่าย ผมควรสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน

“กินหมูกระทะดีกว่า”

[….]

ร้านหมูกระทะ

ผมล่วงหน้ามาก่อนแล้วส่งพิกัดไปให้ปาย รออยู่หน้าร้านไม่นานมันก็มาถึง ผมเลือกร้านนี้เพราะอยู่ละแวกเดียวกับร้านผม ไม่ต้องไปไกล อีกอย่างอยู่ใกล้มหาลัย คนที่มากินก็มีแต่นักศึกษา มองแล้วเบิกบานตา

“คนเยอะเหมือนกันนะนี่” ปายกวาดตามองไปรอบๆ โต๊ะถูกจับจองเกือบหมดแล้ว

“อืม วันนี้คนเยอะจริง ดีที่เรามาไว” ผมเองก็ไม่ค่อยได้มาเหมือนกัน แต่เวลาเลี้ยงเด็กๆ ในร้านพวกมันก็มักจะพาผมมาที่นี่ ก็เลยพลอยรู้จักกับเฒ่าแก่ร้านไปด้วย เพราะมาทีก็จะยกโขยงกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ย่อมต้องจ่ายหนัก เลยได้รับความสนใจเป็นธรรมดา

เด็กในร้านหมูกระทะที่จำผมได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

“วันนี้มากี่คนครับเฮีย”

“สอง”

“ครับๆ ทางนี้ครับ มีโต๊ะว่างพอดี อาหารอยู่ฝั่งนั้นตักได้ตามใจเลย เดี๋ยวจะมีคนมาตั้งเตาให้ เอ้อเฮียรับเครื่องดื่มเพิ่มหรือเปล่า ถ้าเป็นน้ำหวานน้ำอัดลมรวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์อยู่แล้ว เติมได้ตลอด” พนักงานพูดรัวอย่างไม่มีติดขัด

“เอาอะไร เบียร์ เหล้า โซดา” ผมหันไปถามปายที่ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกแล้วทิ้งตัวลงนั่งเรียบร้อย

“ขอเป็นน้ำปกติแล้วกัน งดของแสลงสักวัน” มันตอบอย่างเกรงใจ สุ้มเสียงมีแววล้อเล่นเจืออยู่

“งั้นไม่เป็นไร ไม่รับอะไรเพิ่ม” ผมหันไปบอกพนักงานที่รออยู่

“ครับเฮีย งั้นเชิญตามสบายนะครับ”

หลังพนักงานมาตั้งเตาให้ ผมกับปายก็ลุกไปตักอาหารมาปิ้งย่าง กินไปคุยไป ใครจะไปนึกว่าระหว่างที่ลุกออกไปตักอาหารเพิ่มจะดันเหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยเข้าโดยบังเอิญ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป