บทที่ 5 สต็อกโฮล์มซินโดรม

ญรินดาติดนิสัยพิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวมาจากนางโชโกะ มารดาชาวญี่ปุ่นที่เป็นอดีตดารานางแบบชื่อดัง แม้ว่ามารดาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว เธอก็ไม่เคยลืมหลักการของท่าน

เรื่องความเหมาะสมกับสถานที่และโอกาสต่าง ๆ สามารถตัดทิ้งไปได้ เพราะตอนนี้เธออยู่ในช่วงลี้ภัย แล้วเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าผู้ชายที่หนวดเครายาวรุงรังเหมือนคนป่าจะมีรสนิยมทันสมัย

แต่ว่าเสื้อผ้าที่เขาซื้อหามาให้เธอ ไม่มีอะไรเข้ากันสักอย่าง ทั้งรูปแบบ สีสันและขนาด เธอรับไม่ไหวจริง ๆ

หญิงสาวใส่เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นลวดลายฉูดฉาดที่เอวหลวมโพรกจนน่าเกลียด เดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น หาอะไรกินแก้หิว

พื้นที่เกือบครึ่งภายในช่องเก็บความเย็นถูกยึดด้วยกระป๋องเบียร์... แค่เห็นแวบเดียวก็รู้สึกเมาแล้ว

“อาหารสดมีแค่แซนด์วิชกับไข่ มื้อนี้ผมตั้งใจจะต้มบะหมี่ใส่ไข่ คุณหนูยูริเอาด้วยไหมครับ”

เสียงของเดวินดังมาจากด้านหลัง

“มีข้าวสารไหมคะ ฉันอยากกินข้าวไข่เจียวมากกว่า”

เธอหยิบไข่ติดมือออกมาสี่ฟอง ก่อนจะสะบัดก้นปิดตู้เย็น ตอนที่หันมาเจอหน้าชายหนุ่ม หัวใจเธอหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง

ญรินดาอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ความหล่อของเขามันบาดตาบาดใจจนเธอมือไม้อ่อนปวกเปียก เผลอทำไข่สี่ฟองหล่นเพละแตกกระจายเต็มพื้น

เดวินยืนเด่นอยู่กลางห้องครัวโดยที่ไม่ได้สวมเสื้อ เส้นผมหยักศกสีน้ำตาลทองที่ยังไม่แห้งสนิทดูยุ่งเหยิงนิด ๆ แนวคิ้วดกหนา สันจมูกโด่งและโหนกแก้มสูง ทำให้เขาดูคมเข้มกว่าผู้ชายชาวตะวันตกทั่วไป

ร่างสูงใหญ่หันหลังให้แสงไฟ ญรินดาจึงมองเห็นไม่ชัดว่านัยน์ตาของชายหนุ่มเป็นสีเขียวหรือสีฟ้า แต่ไม่ว่าจะสีอะไรเธอก็ชอบ

ใช่... เธอชอบเขาเข้าให้แล้ว

ญรินดาอาจจะเป็นสาวเปรี้ยวแต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายที่ถูกใจใครง่าย ๆ เธอพิถีพิถันช่างเลือก พวกหนุ่ม ๆ ที่เข้าคิวตามจีบเธอยาวเป็นทางรถไฟ ไม่มีใครได้แอ้มเธอหรอก

หรือว่าเธอจะเป็นโรคสต็อกโฮล์มซินโดรม[1] ?

“ท่าทางคุณดูไม่เหมาะจะเป็นแม่ศรีเรือน นั่งรออยู่เฉย ๆ ดีกว่า เดี๋ยวผมจัดการเอง”

เดวินคว้ามือหญิงสาวไว้ ดึงเธอให้ถอยออกมาจากตรงนั้น แล้วก็จัดการทำความสะอาดพื้นอย่างคล่องแคล่ว

เขาไม่มีครอบครัว ยังโสดสนิทและเคยชินกับการช่วยตัวเอง... ใช่ เขาหมายถึงช่วยตัวเองนั่นแหละ

ญรินดาจ้องมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกทึ่งกึ่งเคลิบเคลิ้ม ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังต้มน้ำร้อน จัดเตรียมเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรสหมูสับใส่ชามกระเบื้อง เพื่อทำเป็นอาหารมื้อดึก

มัดกล้ามแน่นปั๋งตรงช่วงสะบักไหล่และต้นแขนกำยำ ขยับเขยื้อนไปตามการเคลื่อนไหวบิดตัวของเขา ลักยิ้มสองจุดที่อยู่เหนือขอบเอวยางยืดกางเกงนอนขาสั้น ชวนให้หญิงสาวเกิดจินตนาการฟุ้งซ่าน...

“ใส่ไข่ด้วยไหมครับ” เขาหันขวับมาถาม

“มะ ไม่ค่ะ” เธอแอบสะดุ้ง ใจหายวาบ

เดวินยกชามบะหมี่มาวางบนโต๊ะ เดินอ้อมไปหยิบไข่ไก่สองฟองมาจากตู้เย็น ตอกเอาเฉพาะไข่แดงใส่ชาม ใช้ช้อนส้อมคนทุกอย่างให้เข้ากัน แล้วก็ตักกินทั้งที่ยังร้อน ๆ

“ไม่รอให้สุกก่อนหรือคะ นี่ยังไม่ครบสามนาทีเลย เดี๋ยวเส้นบะหมี่ก็บานในกระเพาะ ท้องอืดกันพอดี”

“ผมชอบกินตอนที่เส้นสุก ๆ ดิบ ๆ อร่อยกว่าเยอะ”

ชายหนุ่มซดน้ำซุปเสียงดังซร๊วบ... ท่าทางดูเอร็ดอร่อยน่าเลียนแบบ จนญรินดาต้องทำตามบ้าง

“อื้อ... เส้นสุก ๆ ดิบ ๆ อร่อยกว่าจริง ๆ ด้วย”

เธออุทานอย่างตื่นเต้น

“คราวหน้าผมจะทำสูตรต้มยำกุ้งผสมกับเย็นตาโฟให้กิน รับรองว่าคุณต้องติดใจ” เขาอวดความเก๋า

“ฉันขอโทรหาคุณพ่อได้ไหมคะ” เธอถามขึ้นดื้อ ๆ

“พ่อเลี้ยงทรงกลดกำลังพักผ่อนอยู่ รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าค่อยโทรหาท่านดีกว่านะครับ”

ซุ่มเสียงเขากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพียงเท่านี้ญรินดาก็รู้แล้วว่า นี่คือสิ่งที่บิดาของเธอต้องการ ในยามคับขัน ท่านไว้ใจบอดี้การ์ดมากกว่าลูกสาวในไส้อย่างเธอเสียอีก

หลังจากที่ทั้งคู่ฟาดบะหมี่จนอิ่มแปล้ หญิงสาวก็ลุกออกจากเก้าอี้ เดินไปหยิบจานชามของชายหนุ่มเพื่อจะนำไปล้างทำความสะอาด แต่เขาไม่ยอม เลยยื้อแย่งกันไปมา

“คุณทำอาหารแล้ว ฉันจะเก็บโต๊ะเองค่ะ”

เธอเอ่ยด้วยความเกรงใจ

“ในครัวมีเครื่องล้างจาน ดึกมากแล้วคุณไปนอนเถอะ”

เขาปฏิเสธเพราะเกรงใจเหมือนกัน

ทว่าญรินดาเป็นคนดื้อแพ่ง เธอออกแรงฉุดกระชากเพื่อจะเอาชนะชายหนุ่มให้ได้ แต่คนมันดวงซวย ทำอะไรก็ซวยไปหมด... ชามบะหมี่ที่มีน้ำซุปเหลืออยู่ครึ่งค่อน พลิกคว่ำใส่หน้าอกอวบอัดอย่างเหมาะเหม็ง

“ว้าย !”

เธอร้องกรี๊ดตกใจ ไม่ใช่เพราะเจ็บปวดแสบร้อน

“ตายห่...”

เดวินรีบคว้าชามบะหมี่ด้วยอารามตกใจเหมือนกัน แต่คราวนี้เขาเชื่องช้าไปหน่อย...

ฝ่ามือหนาตะปบหมับเข้าที่สองเต้าคัพD ของหญิงสาวเต็ม ๆ

เสียงจานชามตกแตกดังเพล้ง ทั้งคู่ยืนชะงักค้างอยู่ในท่านั้น ตาต่อตาจ้องกันไม่กะพริบ

ตอนนี้ญรินดาใส่สปอร์ตบราแบบฟรีไซส์ราคาถูกที่เขาซื้อมาจากร้านค้าในปั๊มน้ำมัน ไม่มีชั้นฟองน้ำห่อหุ้ม ชายหนุ่มจึงได้สัมผัสกับขนาดเนื้อแท้ที่แม่ให้มาตั้งแต่กำเนิด

[1] อาการสต็อกโฮล์ม (อังกฤษ: Stockholm syndrome) เป็นคำอธิบายถึงอาการอย่างหนึ่งที่ตัวประกันเกิดความสัมพันธ์ทางใจกับผู้ลักพาตัวในระหว่างการถูกกักขัง ความสัมพันธ์ทางอารมณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างผู้จับกับเชลยในช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกัน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป