บทที่ 18 คลาน
“ชะ… ชินซอง” ฉันครางชื่อนั้นออกมาเบา ๆ
คุ้นจัง… ทำไมอยู่ ๆ ฉันถึงรู้สึกคุ้นกับชื่อนี้กันนะ
“ใช่ เธอเคยรู้จักกับมันมาก่อนใช่ไหม ไอ้ชินซองน่ะ”
เคยรู้จัก… อย่างนั้นเหรอ…
‘ชินซอง… ฮึก’
“โอ๊ย!” ฉันยกสองมือขึ้นกุมหัวทันที ความรู้สึกปวดร้าวราวกับหัวจะระเบิดนี่มันคืออะไร อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในหัว มันตีรวนกับความทรงจำก่อนหน้าไปหมด มันรวนจนฉันแยกแยะไม่ออกเลยว่ามันคือเรื่องจริงหรือไม่จริง… มันทรมาน… ฉันทรมานจะตายอยู่แล้ว ฉันไม่อยากคิดอะไรแล้ว ฉันต้องการยา… ยาของฉันอยู่ไหน?!
“เฮ้! เธอเป็นอะไร?!” สัมผัสจากฝ่ามืออบอุ่นแตะลงบนหัวไหล่ของฉัน ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อาคิระกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่เพราะฉันมัวแต่ก้มหน้าชิดเข่า สองมือกุมขมับตัวเองแน่น พยายามกดมันสุดแรงเพื่อบรรเทาอาการทรมานอย่างแสนสาหัสนี้ลง
“ยา… ย... ยาฉัน”
“ยา? ยาอะไร?!”
“ยา Fluoxetine ของฉัน… อึก คนสารเลวนั่นเอามันไป” ฉันพึมพำไม่เป็นภาษาและพูดชื่อยาออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่อาคิระกลับฟังมันออก เขานิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะจับฉันเอนตัวลงบนฟูกแล้วผลุนผลันวิ่งออกจากโกดังไปโดยเปิดประตูทิ้งเอาไว้อย่างไม่กลัวว่าฉันจะหนี
แต่ก็นะ… สภาพของฉันตอนนี้ถ้าคิดจะหนีก็คงต้องคลานออกไปเท่านั้นแหละ ฉันไม่มีแม้แต่แรงจะพูดด้วยซ้ำ นับประสาอะไรจะให้ลุกเดิน…
.
.
.
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
หลังจากได้นอนพักสมองชั่วครู่ทำให้อาการปวดหัวบรรเทาลงมาก อาคิระยังคงไม่กลับมา และประตูโกดังก็ยังเปิดอยู่เช่นเดิม เห็นดังนั้นฉันจึงพยายามรวบรวมแรงเพื่อลุกขึ้นนั่ง สายตาจับจ้องไปทางประตูนิ่ง ฉันต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้… นั่นคือสิ่งเดียวที่คิดได้ในเวลานี้ เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่เหลืออยู่สำหรับฉันแล้วก็ได้
“บ้าฉิบ…” ฉันสบถออกมาเมื่อตัวเองล้มลงบนพื้นดินแสนสกปรกของโกดัง เศษขี้ฝุ่นกระจายไปทั่วอากาศจนต้องกลั้นลมหายใจ อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดจริง ๆ ฉันไม่เหลือเรี่ยวแรงจะเดินเลยสักนิด
แต่ต่อให้ต้องคลานออกจากที่นี่เพื่อหนีไป… ฉันก็จะทำ!
.
.
.
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ฉันสามารถคลานออกมาจากโกดังนรกนั่นสำเร็จ มองจากรอบตัวแล้วที่นี่คงจะเป็นบ้านแถวชานเมืองซึ่งร้างราผู้คน ท้องฟ้าที่ฉันไม่ได้เห็นมาหลายวันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีครามบ่งบอกให้รู้ว่ายามนี้เริ่มจะพลบค่ำแล้ว
ฉันท้าวฝ่ามือลงบนพื้นเพื่อพยุงตัวเองอีกครั้ง คราวนี้ฉันสามารถลุกขึ้นยืนได้สำเร็จด้วยการจับกำแพงรั้วสูงของบ้านหลังใหญ่เพื่อช่วยพยุงตัวอีกแรง ฉันค่อย ๆ เดินเกาะกำแพงมาที่ประตูรั้วช้า ๆ ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึงที่หมายและก็พบว่ามันไม่ได้ล็อกเอาไว้
แสดงว่าผู้ชายสารเลวนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่สินะ… และอาคิระก็รีบออกไปโดยไม่ได้ล็อกประตูเช่นกัน
ไม่ต้องยืนคิดให้เสียเวลานาน ฉันดันประตูเปิดออกแล้วแทรกตัวผ่านออกมา ตรงหน้าของฉันตอนนี้เต็มไปด้วยป่าไม้รกทึบไปหมด บริเวณถนนเป็นทางลาดขึ้นเขาซึ่งฉันไม่รู้หรอกว่าตัวเองควรจะไปทางไหน ขอเพียงแค่มีรถผ่านมาสักคันเพื่อให้ฉันได้ขอความช่วยเหลือเท่านั้นก็พอแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ฉันพยายามทรงตัวเดินไปข้างหน้าช้า ๆ พยายามอย่างที่สุดเพื่อไม้ให้ตัวเองล้ม ดวงตาปรือมองไปยันถนนด้านหน้าอย่างรอคอยความหวังว่าจะมีรถสักคันผ่านมาบ้าง
พระผู้เป็นเจ้า… ได้โปรด… ช่วยลูกด้วย
ฉันวิงวอนต่อพระเจ้าในใจและดูเหมือนว่าคำอธิษฐานของฉันจะได้รับการตอบรับ สายตาเลือนรางของฉันมองเห็นไกล ๆ ว่าคล้ายกับมีรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่คันหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง ฉันรีบโบกมือไปทางถนนอย่างไม่รีรอ พยายามแสดงตัวให้เจ้าของรถคันนั้นมองเห็นท่ามกลางแสงยามเย็นที่เริ่มโพล้เพล้
ในที่สุดรถบิ๊กไบค์คันนั้นค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลง เขาเบี่ยงตัวเข้าข้างทางและชะลอรถจอดเลยจุดที่ฉันยืนไปไม่กี่เมตร ฉันเอ่ยขอบคุณพระเจ้าในใจก่อนจะหันกลับมาหาเจ้าของรถคันนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ชะ… ช่วยด้วย…”
ร่างสูงก้าวลงจากรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ เขามองฉันผ่านหมวกกันน๊อคสีดำดุก่อนจะเดินเข้ามาหาช้า ๆ ราวกับตอบรับคำขอร้องของฉัน สายลมเย็น ๆ พัดผ่านมากระทบร่างที่สวมเพียงเสื้อผ้าตัวบางจนรู้สึกหนาวสั่นอย่างบอกไม่ถูก ฉันยืนนิ่งกอดตัวเองอยู่อย่างนั้นเพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว ทำได้เพียงยืนรอให้ร่างสูงนั่นเดินเข้ามาหา
“...” เขาเดินเข้ามาหยุดลงตรงหน้าฉันแล้ว ฉันจ้องเขาผ่านกระจกสีดำของหมวกกันน๊อค เดาไม่ถูกเลยว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ตอนที่ได้เห็นสภาพราวกับศพเดินได้ของฉันใกล้ ๆ เขาอาจจะรังเกียจหรือขยะแขยงฉัน แต่ฉันไม่สน ขอเพียงเขายอมช่วยพาฉันหนีไปจากที่นี่ก็พอแล้ว
“ได้โปรด… ช่วยฉันด้วย… ช่วยพาฉันไปจากที่นี่ที” ฉันอ้อนวอนเขาอีกครั้ง วินาทีนี้ศักดิ์ศรีมันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันอีกแล้ว เพียงแค่ได้หนีไปจากขุมนรกนี่ฉันยอมทำทุกอย่าง
“แลกกับอะไร?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำลอดผ่านหมวกกันน๊อคออกมา เสียงของเขาอู้อี้หากทว่าดุดัน ฉันรู้สึกคุ้นกับน้ำเสียงของเขามาก แต่มันไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องพวกนั้น เพราะสิ่งที่เขาถามมันสำคัญมากกว่า
“ละ… แลก?”
