บทที่ 3 เพลิงคลั่งรัก : 2
“ฉุด?”
คำถามสั้น ๆ ดังขึ้นพร้อมร่างกำยำผมสีดำสวมสูทสีเดียวกับผมเดินลงมาจากรถหรูคันที่เพิ่งบีบแตรใส่พวกเขา
เค้าโครงหน้าไม่ใช่คนประเทศตนแน่ ออกไปแนวคนชาติญี่ปุ่นมากกว่า
แต่กลับพูดภาษาถิ่นได้ชัดขนาดนี้น่าจะไม่ใช่ผู้ผ่านทางธรรมดา
“ถ้าไม่อยากไปเฝ้ายมบาลก็ไสหัวไปซะ!”
เสียงตะโกนกร้าวเบ่งความยิ่งใหญ่จากชายคนที่กำลังจะง้างมือขึ้นทำร้านผู้หญิงดังขึ้น
“ครับนาย”
ผู้มาเยือนคนใหม่ใช้มือแตะเครื่องสื่อสารที่ติดอยู่ในหูเพื่อรับคำสั่งจากนายที่อยู่ในรถให้จัดการสวะพวกนี้ให้สิ้นซาก
ร่างสูงในชุดสูทสีดำเดินอย่างองอาจไปด้านหน้าอย่างไม่กลัวคนกลุ่มหนึ่งที่มีมากกว่าตนถึงสี่เท่า
เจ้าผอมหนึ่งในแก๊งที่เพิ่งฉุดฟางเซียนมารีบปรี่เข้าหมายจะทำผลงานแต่ถูกสับศอกลงท้ายทอยจนสลบเหมือด
คนอื่น ๆ เห็นท่าไม่ดีเตรียมจะล้วงปืนออกมาจัดการให้จบ ๆ
ไปแต่เสียงปืนจากกระบอกอื่นจากฝ่ายตรงข้ามกลับดังขึ้นก่อน
แถมเข้าเป้าที่หน้าขาชายคนที่สองที่เป็นพวกเดียวกันกับคนแรกที่สลบไปแล้ว
“ลากตัวยัยนั่นขึ้นมา!”
เสียงคนที่มีหน้าที่ขับรถตะโกนเรียกพรรคพวกเมื่อเห็นท่าไม่ดี
ร่างบอบบางของฟางเซียนถูกกระชากกลับขึ้นรถอีกครั้ง
แต่นั่นช้ากว่าชายแปลกหน้าที่เป็นพลเมืองดี เขาคว้าแขนเธอไว้ทัน
แถมส่งลูกถีบเข้าเต็มหน้าท้องสมุนอีกคนของแก๊งอันธพาลจนล้มจุกกลิ้งไปมาบนพื้นแข็ง
บรืนนนน~
เสียงล้อลดเบียดถนนพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่คิดเหลียวแลเพื่อนสามคนที่นอนกองอยู่ตรงนี้
“ไสหัวไป ถ้าอยากมีชีวิตอยู่”
พลเมืองแปลกหน้าผู้ใจดีแต่น่ากลัวเอ่ยเสียงทุ้มบอกอีกฝ่าย
ก่อนจะพยุงร่างบางที่บอบช้ำไปทั้งร่างกายแถมสลบไปตอนไหนก็ไม่รู้ขึ้นรถที่จอดสนิทอยู่ทันที
“ขอบใจ”
เขาเอ่ยบอกเจ้าของกระสุนเมื่อสักครู่ที่เป็นเพื่อนกันก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นนั่งประจำที่อีกฝั่งข้างคนขับ
“นายจะเอายังไงต่อ”
เจ้าของกระสุนนั้นถามผู้เป็นนายที่นั่งมองร่างบางที่ไร้สติอย่างเดาความคิดไม่ออก
“กลับ!”
สิ้นคำสั่งนั้น รถหรูก็ขับทะยานกลับสู่ที่พักทันที
ทุกอย่างถูกชายฉกรรณ์สามคนที่ถูกลอยแพจดจำรายละเอียดเท่าที่จำได้ไว้ในสมอง
พวกเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายเพื่อลบความผิดพลาดในครั้งนี้
คิดมีเรื่องกับ ‘เฉิง กวง หมิน’ ผู้มีอิทธิพลดำมืดในกว่างโจวเท่ากับเอาขาข้างหนึ่งเหยียบนรกไปแล้ว
.
.
: เหมือนเกิดใหม่ :
ประเทศไทย , 4 เดือนต่อมา
'ไม่นะ ปล่อย!'
เฮือก!!
ฉันสะดุ้งจากฝันร้ายจากเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผากจนต้องยกมือขึ้นปาดแล้วปาดอีก
"ตื่นแล้ว"
"อะ!"
เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ข้างเตียงทำเอาฉันตกใจรีบลุกพรวดขึ้นจากการนอนหายใจหอบเหนื่อยทันที
ผู้ชายผมสีเงิน ดวงตาแสนเย็นชา สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีดำตลอดเวลา กำลังนั่งจ้องหน้าฉันอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดได้
"ฝันร้ายอีกแล้ว"
คำตอบแรกฉันยังไม่ได้ตอบเขาเลย แต่คิดว่าไม่จำเป็นแล้วแหละ
"ค่ะ" ตอบเขาเสียงอ้อมแอ้ม
ผู้ชายตรงหน้าเขาคือผู้มีพระคุณที่ช่วยฉันจากการถูกป้าแท้ ๆ ขายให้กับแก๊งมาเฟียตอนอยู่ที่บ้านเกิด จนจับพลัดจับพลูได้ติดสอยห้อยตามเขามาอยู่ที่ประเทศไทย
"ไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ฉันจะพาเธอไปสมัครเรียน"
ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้น ก่อนคำถามต่อมาจะหลุดออกจากปากอย่างรนราน
"คุณเพลิงกัลป์จะพาหนูไปเรียนเหรอคะ"
ตอนนี้ฉันมีสองอารมณ์ในคำถามนั้น
'ดีใจ' ที่จะได้ไปเรียน กับ 'ตื่นเต้น' ที่จะได้ไปทำในสิ่งที่ใฝ่ฝันมาโดยตลอด
"อืม" คำตอบสั้น ๆ ดังขึ้น
คุณเพลิงกัลป์เคยมีรอยยิ้มบ้างไหมนะ?
ถึงเขาจะเป็นคนหน้าตาดี แต่เท่าที่ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะเด็กในปกครองของเขา ยอมรับเลยว่ายังไม่เคยเห็นมุมอ่อนโยนหรือแม้แต่รอยยิ้มของเขาเลยสักครั้งเดียว
"มองอะไร" เสียงกึ่งดุถามขึ้น
"เปล่าค่ะ" ฉันรีบส่ายหน้าไปมา ก้มหน้างุดหลบสายตานั้นทันที
ร่างสูงคงเสร็จธุระกับฉันแล้ว เขาเลยค่อย ๆ ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากห้องฉันไป
"เสื้อผ้า... ฉันแขวนไว้ตรงนั้น"
มองตามสายตาที่เขาโฟกัส เห็นชุดนักศึกษาความยาวน่าจะคลุมเข่าอยู่ชุดหนึ่ง
"รีบอาบน้ำแล้วลงไปข้างล่าง"
ฉันพยักหน้าหงึก ๆ อย่างไม่ออกเสียงเพราะรู้สึกเกร็งทุกครั้งที่อยู่กับเขาตามลำพัง
"แค่เอาชุดมาให้เหรอ?" พึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาสั่งให้แม่บ้านเอามาให้ก็ได้ แต่นี่ลงทุนเดินจากชั้นสองเอามาให้ฉันที่อยู่ชั้นสี่ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
แต่ก็ช่างเถอะ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่เคยรู้เหตุผลที่เขาช่วยฉันรวมถึงพาฉันมาที่นี่เลยสักเหตุผลเดียว
พาร่างบอบบางที่หนักเพียงแค่สี่สิบสามเพราะกินไม่ค่อยได้เนื่องจากแปลกที่ ค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงนอนขนาดคิงไซซ์
เดินไปจับชุดนักศึกษาที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะสวมมันมานานมากแล้วแม้จะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ใส่ชุดของประเทศเพื่อนบ้านนี้ก็ตาม
"นี่เรากำลังจะได้เรียนจริง ๆ ใช่ไหม"
รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่อยู่ที่กว่างโจว ฉันเคยเรียนกับโรงเรียนเล็ก ๆ ที่มีอาจารย์มาเปิดสอนเด็กยากจนให้พออ่านออกเขียนได้
แต่ด้วยความที่ฉันมีพื้นฐานตอนเรียนมัธยมต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วฉันเลยเก่งกว่าเด็กคนอื่น ๆ
ถามว่าฉันมีพื้นฐานได้ยังไงน่ะเหรอ?
เพราะตอนมัธยมต้นฉันยังไม่สูญเสียแม่แท้ ๆ ไปยังไงล่ะ
