บทที่ 1 แต่งงาน

ณ โบสถ์แห่งหนึ่ง

ประตูบานใหญ่ถูกเปิดกว้างพร้อมร่างบางในชุดเจ้าสาวสีขาว มือบางคล้องแขนชายวัยกลางคนขณะทั้งคู่ก้าวเข้าสู่ทางเดินถอดยาว สองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่าย ยังไม่รวมผู้ชายชุดดำอีกนับสิบคนที่ยืนกระจายรอบ ๆ งาน

ดวงตาหวานมองผ่านผ้าปิดหน้าบางเบาไปทางแท่นพิธีเบื้องหน้า ปรากฏร่างสูงในชุดสีขาวสะอาดตายืนเด่นสง่า วันนี้เขาแต่งตัวเรียบร้อยต่างไปจากปกติ ใบหน้าหล่อราวเทพบุตรเรียบตึงไร้ความรู้สึก ทั้งคู่สบตากันนิ่งเมื่อผู้เป็นบิดาส่งมือบางของลูกสาวให้แก่ชายหนุ่มที่ยื่นมารับ เธอส่งยิ้มละมุนให้บิดาแล้วหันหน้าสู่แท่นพิธีโดยไม่สนใจคนข้างกายอีกเลย

“ขอเชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวกล่าวคำปฏิญาณ”

เสียงบาทหลวงเริ่มพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ มือบางกำดอกไม้ในมือพลางเม้มริมฝีปากแน่น ฝ่ายเจ้าบ่าวจึงเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน เพราะเขาอยากจะจบงานนี้ให้เร็วที่สุด

“ผมนายฟรานซิส... ขอรับนางสาวพลอยณภัทรเป็นภรรยา”

“...”

“ขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อภรรยา... ทั้งในยามสุขและยามทุกข์... ในเวลาป่วยและเวลาสบาย”

“...”

“จะรัก ยกย่อง และให้เกียรติภรรยาจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

สิ้นคำกล่าวปฏิญาณด้วยน้ำเสียงเฉยชาของเจ้าบ่าว ผู้เป็นเจ้าสาวจึงแอบเหลือบมองใบหน้าไร้ความรู้สึกของเขาอีกครั้ง

เขากล่าวคำสาบานออกมาโดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำตามคำสาบานนั้นไม่ได้เนี่ยนะ...

เสียงกระแอมแผ่วเบาจากด้านหลังทำให้ร่างบางในชุดเจ้าสาวขยับตัวนิดหน่อย สายตาจับจ้องอ่านคำปฏิญาณบนแท่นพิธีด้วยหัวใจหนักอึ้ง

“ฉัน... นางสาวพลอยณภัทร ขอรับ... นายฟรานซิสเป็นสามี” น้ำเสียงหวานเปล่งออกมาแผ่วเบา หากทว่าความเงียบของทุกคนกลับผลักดันให้เสียงของเธอก้องกังวานอย่างชัดเจน กว่าจะเอ่ยออกมาแต่ละคำมันช่างยากเย็นนัก มันยากจริง ๆ กับการต้องฝืนพูดในสิ่งที่เราไม่ได้รู้สึก

“…”

“ขอสัญญาว่า... จะซื่อสัตย์ต่อสามี ทั้งในยามสุขและยามทุกข์... ในเวลาป่วยและเวลาสบาย”

“…”

“จะรัก... ยกย่องและให้เกียรติสามีจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

พูดไปแล้ว... คำสาบานนั่น...

“เชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวสวมแหวนให้กัน” บาทหลวงยิ้มรับคำปฏิญาณพลางเอ่ยขึ้น

“…” แหวนวงเล็กถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าสาว เธอจ้องมองมันด้วยความรู้สึกอึดอัด มันไม่ใช่แค่แหวนแต่งงานธรรมดาทั่วไป แต่มันคือโซ่ตรวนที่คล้องทั้งชีวิตของเธอไว้กับผู้ชายคนนี้

“…” มือบางสวมแหวนวงใหญ่ใส่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาเช่นกัน ความเงียบยังปกคลุมรอบตัว ทั้งสองสบตากันนิ่งเมื่อพิธีแลกแหวนเสร็จสิ้น หากทว่าประโยคต่อมาของบาทหลวงกับกระตุกหัวใจดวงน้อยให้เต้นแรงฉับพลัน

“เชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจูบสาบานต่อหน้าพระเจ้า”

จะ... จูบเหรอ!

เจ้าสาวคนสวยกัดริมฝีปากบางแน่น เธอจ้องตาร่างสูงด้วยสายตาห้ามปราม เขาแค่นหัวเราะแผ่วเบาขณะเปิดผ้าผืนบางขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าสวยชัดเจน เขาโน้มใบหน้าหล่อเข้าไปใกล้แล้วรั้งท้ายทอยคนตัวเล็กเพื่อปรับองศาใบหน้า

“ยะ... อย่านะ” เสียงหวานกระซิบแผ่ว

ทำไม่ได้นะ... จูบไม่ได้…

“เล่นละครทั้งที”

“…”

“เล่นให้สมบทบาทหน่อยเป็นไง”

“...อื้อ” มือบางยกขึ้นวางบนแผ่นอกแกร่งเมื่อเจ้าบ่าวสุดหล่อประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเจ้าสาวแสนสวย ริมฝีปากร้อนบดคลึงเร่าร้อนเผาผลาญสติและเรี่ยวแรงของภรรยาหมาด ๆ อย่างเธอจนแทบจะเป็นลม

นี่มันไม่ใช่จูบสาบานแล้ว... นี่มันจูบเพราะความใคร่มากกว่า!

“...หึ” สามีหมาด ๆ ผละริมฝีปากออก เขากระตุกยิ้มร้ายกาจขณะที่สติของเธอยังล่องลอยไปกับจูบเร่าร้อน

“รีบโยนดอกไม้ซะสิ ฉันเบื่องานนี้เต็มทนแล้ว”

ดวงตาสวยตวัดมองคนเป็นสามี ใบหน้าเห่อร้อนเรียบตึงหันหลังกลับไปหาทุกคนในงาน

“กรี๊ด! โยนมาทางนี้เลยแหวนพลอย!”

บรรดาเพื่อนเจ้าสาวทั้งสี่คนกรูกันเข้ามารอรับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวคนสวย งานแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นเล็ก ๆ แบบส่วนตัวจึงมีเพียงเพื่อนสนิทจริง ๆ เท่านั้นที่เธอเชิญมา เจ้าของชื่อแหวนพลอยเผยรอยยิ้มขบขำก่อนจะหันหลังแล้วโยนดอกไม้ไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว

“โธ่... ทำไมดอกไม้ตกไปที่เธอล่ะแหวนเพชร” เสียงนิราบ่นอุบพลางส่งสายตาเสียดายไปทางสาวน้อยร่างเล็กที่ยืนถือช่อดอกไม้อยู่ในมือ

“...เอ่อ มันตกมาเองนะพี่นิรา เอาไปสิฉันไม่เอาหรอก” แหวนเพชรยื่นช่อดอกไม้ให้นิราทันที เธอรีบโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ไม่เอา ๆ สงสัยเธอจะได้แต่งงานต่อจากพี่สาวเธอแน่ ๆ เลยยัยเพชร ฮ่า ๆ”

“นั่นสิ ฮ่า ๆ ฮอตทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ”

ทอฟ้ากอดคอแหวนเพชรพลางขยิบตาให้เจ้าสาวคนสวยที่บัดนี้หน้าตึงไปแล้ว แหวนเพชรเหลือบมองร่างสูงที่ยืนถัดจากเธอไปไม่ไกลนัก เขาส่งยิ้มมุมปากพลางส่งสายตาล้อเลียนมาให้ เธอจึงรีบเบี่ยงหน้ากลับมามองพี่สาวคนสวยก่อนจะกระซิบกับเพื่อนพี่สาวเสียงเบา

“โธ่พวกพี่ก็… พี่ก็รู้ว่าพี่พลอยเขาแต่งเพราะ...”

“เอาล่ะสาว ๆ แม่ว่าได้เวลาส่งตัวบ่าวสาวแล้วนะ!” น้ำเสียงใจดีเอ่ยขัดคำพูดของลูกสาวคนเล็กเอาไว้ คุณหญิงไพลินเดินเข้ามาโอบกอดลูกสาวคนโตอย่างรักใคร่” วันนี้ลูกสาวของแม่สวยที่สุด”

“ขอบคุณค่ะแม่...” แหวนพลอยชำเลืองตามองร่างสูงข้างกายที่กำลังยืนคุยกับบิดาของเธอด้วยสีหน้าสงสัย ใบหน้าหล่อของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรในใจ “แม่คะ... พ่อคุยอะไรกับเขาหรือคะ?”

คุณหญิงไพลินยิ้มเอ็นดูลูกสาว ท่านรู้สึกสบายใจอย่างที่สุดเมื่อแหวนพลอยลูกสาวคนโตได้เป็นส่วนหนึ่งในตระกูลเก่าแก่อย่างเดริตโต้ ตระกูลที่ทรงอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของประเทศ

“เรื่องจดทะเบียนสมรสจ้ะ”

“คะ?” ใบหน้าสวยชักสีหน้าตกใจ” ทะเบียนสมรส... แม่คะ! ทำไมต้องจดด้วย... พลอยยังเรียนไม่จบเลยนะคะ!”

กลุ่มเพื่อนเจ้าสาวเริ่มหันมองตามเสียงหวานที่เผลอร้องออกมาจนคนเป็นแม่ตอนนิ่วหน้าดุ ท่านถอนหายใจน้อย ๆ พลางลูบเรือนผมสีน้ำตาลของลูกสาวเบา ๆ

“มันเป็นข้อตกลงนะพลอย”

“แต่…”

“เรารับปากแม่แล้วนะ”

คุณหญิงไพลินขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แหวนพลอยงับปากที่กำลังจะแย้งในทันที เธอเลื่อนสายตามองร่างสูงที่เดินมาทางนี้ สายตาของเขามันช่างราบเรียบและว่างเปล่า เขาหยุดตรงหน้าเธอแล้วจ้องหน้ากันนิ่งจนคนเป็นแม่ต้องเป็นฝ่ายถามขึ้น

“พร้อมแล้วใช่ไหมตาฟราน”

“...ครับคุณอา”

“งั้นอาฝากน้องด้วยนะลูก ส่วนเรื่องของใช้ส่วนตัวกับเสื้อผ้าของแหวนพลอย อาจะให้คนเอาไปส่งให้ที่คอนโดของเรานะ”

“...ครับ” ฟรานซิสตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นเดิม มีเพียงแววตาที่เขาส่งมาให้ร่างบางเท่านั้นที่เริ่มทวีความหงุดหงิดขึ้น

“แม่คะ... หมายความว่ายังไงคะ?” แหวนพลอยถามมารดาด้วยสีหน้าตื่น ๆ

“หมายความว่าพลอยต้องย้ายไปอยู่กับฟรานซิสไงลูก”

ว่าไงนะ...

“เอาล่ะเจ้าบ่าวเจ้าสาว มาจดทะเบียนแล้วค่อยส่งตัวนะ แหวนพลอย... มาหาพ่อสิลูก” เสียงบิดาดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างบางจึงหันไปสนใจในที่สุด เธอส่งยิ้มน่ารักให้ผู้เป็นพ่อแล้วเดินเข้าไปสวมกอด “ต่อไปนี้ลูกสาวพ่อเป็นคนของแล้วนะ วางตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งนายหญิงนะพลอย”

น้ำตาเม็ดเล็ก ๆ ไหลซึมออกมาจากดวงตาสวย เธอรู้สึกใจหายยิ่งนัก เมื่อระลึกได้ว่าต้องห่างจากอ้อมกอดนี้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ไปไหนไกล แต่ต้องแยกบ้านกันนอน แยกโต๊ะกันทานอาหาร เพราะชีวิตเธอต่อไปนี้ต้องใช้ร่วมกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี...

บทถัดไป