บทที่ 2 1(1)

สองสัปดาห์ก่อน...

เสียงกวัดแกว่งดาบและเสียงลมหายใจที่ปะทะกันอย่างดุดันดังก้องอยู่ภายในห้องซ้อม ทุกครั้งที่ปลายดาบสวนมาฉันพลิกตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งโดนตัดขาล้มในจังหวะเผลอ

พลั่ก!

“อึก... จิน!”

“แพ้อีกแล้วนะครับท่านซายูริ”

“อย่าขี้โกงสิ” ฉันค้อนขวับ ปัดมือที่ยื่นมาให้ของคนวัยสี่สิบทิ้ง ใช้ปลายดาบยันพื้นเพื่อดันตัวเองลุกขึ้นยืน

“อย่าลืมจุดยืนของตัวเองสิครับ การต่อสู้ที่ซื่อสัตย์ในหมู่ยากูซ่าก็ไม่ต่างจากการตามหาแสงสว่างในพายุ”

ฉันเข้าใจที่จินบอก แต่จู่ๆ มาตัดขากันแบบนี้มันรับไม่ได้จริงๆ ให้ตายสิ กำลังจะวอแวกลับไปแม่บ้านก็พรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ อะไรละนั่น

“ท่านซายูริมีสายจากโรงพยาบาลค่ะ”

โทนเสียงร้อนใจผิดปกติของแม่บ้านทำฉันกับจินมองหน้ากันแบบไม่ได้นัดหมาย ยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์อย่างสงสัย และทันทีที่ได้ยินปลายสายรายงานฉันก็ตัวแข็งทื่อ

“อะไรนะ!... คุณพ่อรถชน”

บรรยากาศรอบตัวเงียบงันจนรู้สึกเหมือนมีปลายเข็มทิ่มแทง ฉันข่มกลั้นริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก ออกคำสั่งกับจินโดยไม่แม้แต่จะกระดิกตัว

“ออกรถ ไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด!”

สามชั่วโมงต่อมา...

กลุ่มชายฉกรรจ์แห่มาจนเต็มทางเดินของโรงพยาบาล ทำเอาคนอื่นตกใจนึกว่ายากูซ่าบุกยึด แต่หากสังเกตสีหน้าพวกเขาดีๆ จะเห็นว่าไม่มีความฮึกเหิมใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงบรรยากาศเศร้าสลดอบอวลไปรอบๆ แทน

ผู้นำของกลุ่ม ซูซาคุ เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำระหว่างทางขากลับจากโยโกฮาม่า อาการเป็นตายเท่ากัน ส่วนคนขับรถเสียชีวิตคาที่ นอกจากนั้นมือขวาอย่างดาไซที่นั่งรถคันเดียวกันก็บาดเจ็บหนักไม่ได้สติ

สถานการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดกับผู้นำกลุ่มแบบกะทันหันย่อมก่อให้เกิดความหวั่นไหวในใจพวกเขา

ฉันเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องผ่าตัด ร้อนใจจนนั่งไม่ติด แม่บ้านที่ขึ้นรถมาด้วยเตือนแล้วเตือนอีกให้ฉันกลับไปนั่งพักแต่ฉันก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน เอาแต่ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด

แต่ก่อนหน้านี้ฉันซ้อมพวกลูกน้องที่ติดตามคุณพ่อไปโยโกฮาม่าจนใบหน้าพวกมันได้แผลคนละที่สองที่

“ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุได้ มันต้องมีอะไรสักอย่างสิ”

ฉันพึมพำอย่างไม่หายสงสัย หันไปคุยกับเจ้ายักษ์สองคนที่หน้ามีรอยช้ำจากหมัดสวยๆ ของฉัน

“ผมก็ไม่เข้าใจครับ จู่ๆ รถท่านก็พุ่งเสียหลักไปชนขอบถนนแล้วพลิกลงคลอง”

“บรรยายได้เป็นฉากเลยนะ มันน่าตบปากอีกสักทีจริงๆ ทำไมถึงยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับคุณพ่อได้ ไอ้พวกเวรนี่!”

“ท่านซายูริ ใจเย็น...” จินห้ามฉันที่เงื้อมือขึ้นจะตบไอ้หน้าโง่ตรงหน้า ฉันสะบัดแขนฮึดฮัดกำลังจะหันไปตะคอกจินที่ทำเสียอารมณ์แต่ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกมาซะก่อน

หมอเดินออกมาด้วยสีหน้าอ่อนล้า กวาดสายตามองมาที่พวกเราเหมือนกำลังหาญาติคนไข้อยู่ ฉันรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนหมอแล้วเขย่าถาม

“หมอคะ!? อาการคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง”

“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับแต่...”

“แต่อะไรหมอ”

ฉันจ้องหน้าหมอแววตาสั่น ทำไมต้องมีเงื่อนไข พ้นขีดอันตรายก็คือพ้นสิ ทว่าคำบอกเล่าต่อมาของหมอก็ทำฉันเข่าอ่อน ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว

“ผมสามารถยื้อชีวิตคนไข้เอาไว้ได้แต่ตอนนี้คนไข้อยู่ในอาการโคม่า”

“หมายความว่า...”

“โอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาเป็นปกติมีน้อยมาก”

หมอกับพยาบาลเดินออกไปแล้วแต่บรรยากาศรอบข้างยังคงเงียบกริบ พวกที่ไปกับคุณพ่อก้มหน้ามองพื้นนิ่งและแทบจะหยุดหายใจ

ฉันกำหมัดแน่น ทั้งโกรธทั้งสับสน หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วแววตาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที

“ไปตรวจสอบรถคันที่คุณพ่อนั่งให้ละเอียด แล้วมารายงานฉัน”

“ครับ? ท่านซายูริกำลังสงสัยว่า...”

ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน ฉันไม่ตอบ หันไปเรียกจินแล้วเดินออกมาทันที แม่บ้านสาวเท้าตามแทบไม่ทัน

“ท่านซายูริรออิฉันด้วยค่ะ”

“ท่านซายูริ...”

ทันทีที่ฉันปรากฏตัวขึ้นพวกลูกน้องที่รออยู่ด้านนอกก็กรูเข้ามาถามอาการคุณพ่ออย่างกระตือรือร้นหากแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“จิน ”

ฉันชำเลืองไปมองจินที่อยู่ด้านหลัง บอกให้เขาเล่าอาการคุณพ่อให้ทุกคนฟัง ส่วนฉันเดินออกมารอที่รถโดยมีแม่บ้านกระวีกระวาดตามมาไม่ห่าง

ให้ตายสิ คุณพ่อล้มป่วยแล้วซูซาคุจะเป็นยังไง... แค่คิดถึงอนาคตของกลุ่มที่มีขนาดใหญ่เกินมือฉันก็รู้สึกเครียดหัวจะแตก

“ท่านซายูริอย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิคะ ป้าเชื่อว่าคุณท่านต้องกลับมา แต่ว่าตอนนี้ซูซาคุมีท่านซายูริเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ถ้าท่านซายูริเศร้าทุกคนก็จะพลอยเศร้าไปด้วย”

แม่บ้านพูดกับฉันด้วยโทนเสียงที่ทั้งสุภาพและนุ่มนวล ฟังแล้วมีสติขึ้นมานิดหนึ่ง

“อืม...”

ฉันพยักหน้า มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานจินก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ผมบอกให้ทุกคนกลับไปทำงานตามปกติ ส่วนเรื่องท่านไคดะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ”

“ให้คนที่ไว้ใจได้อยู่เฝ้าคุณพ่อหรือเปล่า”

“ครับ ผมให้พวกที่ไปโยโกฮาม่าผลัดกันอยู่เวร บอกพวกมันด้วยว่าถ้าคุณท่านเป็นอะไรไปพวกมันและครอบครัวตาย!”

“อืม งั้นก็คงหายห่วงแล้วล่ะ กลับกันเถอะ”

ฉันเดินนำทุกคนขึ้นรถ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกเพราะจินพูดแทนฉันทุกอย่างแล้ว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป