บทที่ 9 ตอนที่ 9
หล่อนรีบก้าวเท้าถอยออกห่าง เมื่อแซคคารีย์ก้าวเข้ามาใกล้ มองเขาอย่างขมขื่น
“นะคะ ให้ฉันกลับบ้านเถอะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่”
“เราตกลงกันเมื่อคืนแล้วไม่ใช่หรือ อย่าลืมง่ายนักสิ”
“แต่ฉัน... คิดว่าฉันคงสวมรอยเป็นพี่นารีต่อไปไม่ได้ และฉันก็ไม่ต้องการที่จะนอนในห้องน้ำบ้าๆ นี่อีก”
แทนที่เขาจะเห็นใจกลับยิ้มเยาะหยัน
“เธอเลือกไม่ได้หรอกอลินดา หน้าที่ของเธอถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ดังนั้นตราบใดที่ฉันยังตามหานารีไม่เจอ เธอก็ต้องเล่นละครเป็นเมียของฉันไปก่อน”
หล่อนมองหน้าหล่อเหลาของแซคคารีย์ทั้งน้ำตา เกลียดตัวเองนักที่ยังรักเขา รักทั้งๆ ที่เขาแสนจะร้ายกาจ
“ก็ได้ค่ะ แต่ฉันจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปทำงานที่โรงแรมแล้ว”
“ถ้าเธอไม่ไปทำงาน แล้วฉันจะตอบเพื่อนร่วมงานของเธอว่ายังไงล่ะ เวลามีคนมาถามหาอลินดาน่ะ”
“ก็บอกว่าหนีตามผู้ชายไปก็ได้ค่ะ”
หล่อนเชิดหน้าสูง
“อย่ามาประชดประชัน เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีทางใส่ร้ายผู้หญิงคนไหนได้ แม้แต่น้องสะใภ้ชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างเธอ”
ในที่สุดหล่อนก็ต้องเจ็บจนจุกเมื่อเขาเอาสิ่งที่หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดมาขว้างใส่หน้า
“ดังนั้นเธอต้องออกไปทำงานพร้อมกับฉัน แสดงตัวเป็นอลินดาเมื่ออยู่ที่ทำงาน ส่วนตอนกลับมาที่บ้าน เธอต้องสวมรอยเป็นนารีภรรยาตัวจริงของฉัน” แซคคารีย์ตวัดตามองหล่อนอย่างไร้ความรู้สึก “หวังว่าเรื่องง่ายๆ แบบนี้ เธอคงทำได้นะ อลินดา”
“แล้วฉันมีทางเลือกเหรอคะ” หล่อนเม้มปากและตอบประชดเขาออกไป
“ใช่ เพราะเธอไม่มีทางเลือก”
เขายิ้มเลือดเย็น
“รีบแต่งตัวได้แล้ว ฉันมีประชุมตอนเช้า”
“ค่ะ”
หล่อนตอบรับ และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากก้าวหายออกไปจากห้องน้ำ พออยู่ตามลำพัง น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลรินออกมาราวกับสายน้ำ
“พี่นารี... พี่หายไปไหนกันนะ”
อลินดาต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยงามของนารีรัตน์วิ่งไปขึ้นรถสปอร์ตคันงามที่แซคคารีย์ติดเครื่องรออยู่ด้วยความรีบร้อน แต่ไม่ว่าหล่อนจะทำดีแค่ไหน เขาก็ยังหาเรื่องตำหนิหล่อนอยู่ดี
“ทำไมต้องแต่งหน้าจัดแบบนี้ด้วย” คนตัวโตหันมามอง และถามเสียงขุ่น “อย่าคิดนะว่าเธอแต่งตัวแต่งหน้าเลียนแบบนารีแล้ว ฉันจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร” เขายังคงใช้วาจาเชือดเฉือนไม่หยุด “ถึงเธอกับนารีจะเป็นฝาแฝดกัน แต่นารีไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นเหมือนกันเธอ รู้เอาไว้เสียด้วย”
อลินดาเจ็บจนจุก แต่ก็จำต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ และก็กลั้นใจหันไปสบประสานสายตากับแซคคารีย์ ผู้ชายปากร้าย และวาจาคมกริบราวกับใบมีดโกน
“เคยดมหรือคะ ถึงรู้ว่าตัวของฉันเน่าเหม็น”
หล่อนเห็นเขาขบกรามแน่น ดวงตาสีสนิมที่จ้องเขม็งมองมาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“กลิ่นเน่าเหม็น ไม่ต้องดมหรอก แค่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นแล้ว”
“งั้นฉันไปทำงานเองก็ได้ค่ะ” หล่อนโมโหมาก จึงจะลงจากรถ แต่แขนถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“เธอเห็นใช่ไหมว่าคนใช้เดินให้พล่าน อย่าทำให้ฉันต้องตกเป็นขี้ปากของคนอื่น นั่งเฉยๆ และคาดเบลล์ซะ”
หล่อนหันไปมองตามสายตาของเขา ก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ที่คฤหาสน์ของแซคคารีย์มีคนใช้รวมกันน่าจะเกินร้อยชีวิต และพวกคนใช้ก็กระจายอยู่ทั่วไปหมด
อลินดาเม้มปากอิ่มแน่นจนเป็นเส้นตรง มือเล็กคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถคันงามแล่นทะยานออกไปจากรั้วใหญ่
ความเงียบงันภายในรถสร้างความอึดอัดให้กับหล่อนอยู่นานเกือบยี่สิบนาที ก่อนที่แซคคารีย์จะเค้นเสียงห้วนกระด้างออกมา
“เดี๋ยวฉันจะแวะปั๊ม เพื่อให้เธอล้างหน้าล้างตา”
“ทำไมคะ ทำไมฉันต้องล้างหน้าล้างตาด้วย ในเมื่อฉันก็อาบน้ำมาแล้ว”
รถคันงามเลี้ยวเข้ามาจอดในสถานีบริการน้ำมันที่เป็นทางผ่านอย่างรวดเร็ว
“หรือว่าเธออยากให้เพื่อนร่วมงานแปลกใจที่วันนี้เธอแต่งหน้าไปทำงานล่ะ อ้อ แล้วชุดทำงานของเธออยู่ด้านหลังรถ เอาไปเปลี่ยนเสียด้วย”
นอกจากจะชอบออกคำสั่งแล้ว แซคคารีย์ก็เป็นผู้ชายที่ละเอียดรอบคอบจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว เพราะคำพูดของเขาถูกต้องทุกอย่าง ปกติหล่อนจะหน้าสดไปทำงานเสมอ มีเพียงแค่แป้งฝุ่นและลิปกลอสเท่านั้นที่มีสิทธิ์อยู่บนหน้าของหล่อน ตรงกันข้ามกับนารีรัตน์ผู้เป็นพี่สาว เพราะรายนั้นชอบแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะออกไปเที่ยวหรืออยู่บ้าน ใบหน้าก็จะต้องจัดเต็มเสมอ
“ค่ะ”
“รีบด้วย ฉันมีประชุม”
เขาย้ำเสียงกระด้าง
หล่อนไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป นอกจากเอี้ยวตัวไปคว้าถุงกระดาษหลังรถ และถือมันติดมือลงไปทันที
แซคคารีย์มองตามร่างอวบอัดของอลินดาไปด้วยความหงุดหงิด ความจริงเขาไม่อยากจะใกล้ชิดผู้หญิงส่ำส่อนคนนี้นัก แต่ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อสาวคนรักหายตัวไปในคืนแต่งงาน การรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักธุรกิจอย่างเขา
“นารี... คุณหายไปไหน”
ชายหนุ่มถอนใจออกมาแรงๆ ด้วยความสับสน ก่อนจะรีบกดรับโทรศัพท์ เมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น
“ได้เรื่องอะไรหรือยังครับ”
“กล้องวงจรปิดที่ป้อมตำรวจใกล้กับโรงแรมที่เกิดเหตุจับภาพรถยนต์ต้องสงสัยได้คันหนึ่งครับ”
เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจตอบกลับมาตามสาย และมันก็ทำให้แซคคารีย์ระบายยิ้มอย่างมีความหวัง
“ผมจะรีบไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้ครับ”
แซคคารีย์กดวางสาย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ อลินดาเดินกลับมาที่รถพอดี และทันทีที่หญิงสาวก้าวขึ้นมานั่งบนรถ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน
“เธอคงต้องไปทำงานเองนะวันนี้ ฉันมีธุระสำคัญ”
