บทที่ 2 TTS EP.1 Royal Love In The Palace
-Tankhun-
ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย แบบไหนจะโชคดีกว่ากัน...คำคำนี้ยังคงดังกึกก้องอยู่ในหัวจนไม่สามารถหลุดออกไปได้ การเกิดเป็นลูกคนโตมันช่างเต็มไปด้วยความกดดัน และภาระที่ไม่สามารถผลักให้พ้นตัวออกไปได้ แม้ว่าบางทีตัวเราเองอาจไม่ได้คิดที่จะชิงดีชิงเด่นกับใครแต่ด้วยสถานะและบทบาทที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ยังเป็นทารกหรืออยู่ในท้องแม่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือหลีกเลี่ยงได้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กยันโตก็คือความเป็น ‘ศักดิ์ศรีของตระกูลเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด’
อืม...มันคงสำคัญที่สุดจริงๆสินะเพราะการยึดติดอยู่กับการเป็นลูกชายคนแรกทำให้ตัวเราต้องทะเยอทะยานอย่างหนัก แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ทำจากเหล็กกล้าที่จะต้องทำตัวให้แข็งแกร่งแข็งแรงตลอดเวลาเพื่อให้น้อง ๆ ยำเกรงและเป็นเสาหลักเพื่อให้ฐานะตัวเองมั่นคง สร้างความเชื่อมั่นให้กับคนรอบตัวว่าพี่ใหญ่นั้น ไม่ใช่คนที่อ่อนแออย่างที่ใคร ๆ คิด แม้มันจะเป็นเรื่องยากลำบากแค่ไหนก็ตาม เห้ออออ....
“คุณหนูต้องดื่มน้ำอุ่นเยอะๆนะครับ...พยายามอย่าอยู่ในที่อากาศร้อนและอบอ้าวจนเกินไป แล้วต้องทานผักเยอะๆนะครับ...คุณหนู...”
“เพราะแบบนี้สินะ...สุขภาพร่างกายเลยสำคัญ”
“ใช่ครับ เรื่องสุขภาพไม่สามารถมองข้ามได้เลย ผมจะจัดวิตามินให้คุณหนูเยอะๆครับ”
“แต่มันสำคัญเหรอ ? ท้ายที่สุดเราต้องพึ่งตัวเอง...”
“…อะแฮ่ม”เสียงบอดี้การ์ดสักตัวกระแอมไอมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมต้อง...
“เห่ย! มึงว่าหย่งฉีจะได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทปะวะ” หลุดออกจากห้วงภวังค์ที่ในหัวผมตอนนี้ แม่ง! วนเวียนอยู่ในรั้วพระราชวังแห่งรางวงศ์ต้าชิงที่ไอ้พีทมันบังอาจเปิดให้ดูเมื่อคืนก่อน จนทำให้ผมข่มตาหลับ ขับตานอนไม่ได้มาจนถึงเวลานี้ แล้ว...เมื่อกี้เสียงไอ้ห่าตัวไหนมันบังอาจมาขัดความคิดที่กูกำลังนึกถึงจิตใจของหย่งหัวที่แบกหน้าที่เป็นลูกชายคนโตของเสด็จพ่อเพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาทวะ!
“คุณหนู...โฟกัสที่คุณหมอก่อนสิครับ!” ไอ้อาร์มบอดี้การ์ดหน้ามนคนไม่ค่อยหล่อ แถมยังทำตัวเป็นไอ้พีทสองคอยเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผม ตอนนี้มันกำลังดึงชายเสื้อผมเบาๆ แล้วก้มลงมากระซิบให้ผมพยายามตั้งใจฟังลุงหมอที่เมื่อกี้...เค้าพูดอะไรบ้างนะ ? อีกทีสิ๊!!!
“ห้ะ ?” ผมเลิกคิ้วพลางมองหน้าลุงหมอด้วยความขัดใจติดไปทางขุ่นเคืองไอ้พวกปีกกล้าขาแข็งทั้งหลายที่ยืนเป็นแบล็คกราวด้านหลังผมอยู่ บังอาจนักนะ!...ไอ้ชนชั้นทาส
“ลุงพูดตรงๆนะคุณหนู...พักผ่อนบ้างนะลูก อย่ามัวแต่ดูซีรีส์จนไข้ขึ้นแบบนี้”ลุงหมอว่าพลางถอนหายใจออกมาหนัก ๆ จนผมต้องเอนตัวให้หลังแนบไปกับโซฟาแล้วยกแขนขึ้นกอดอกตัวเองด้วยขี้เกียจมาฟังคำบ่นของผู้สูงวัยตรงหน้า
“ก็จะโทษใครได้ล่ะ! หัวหน้าบอดี้การ์ดผมอยู่ ๆ มันก็มาทิ้งบอมบ์ว่าซีรีส์เรื่องนี้สนุกมาก แล้วตัวมันก็หายหัวไปเลย อีกอย่างมันมีตั้งแปดสิบกว่าตอน เวลาดูแล้วมันไม่ต่อเนื่องมันนอนไม่หลับนี่ครับ!” ผมพูดความในใจทุกอย่างออกไปจนหมดสิ้น ไอ้พีทก็สารเลวจริง!!! กูรู้นะที่มึงมาสปอยซีรีส์จีนให้กูติดเพราะกูจะได้ไม่ไปกวนมึงตอนมึงทำงานให้ไอ้คินน์อยู่อะนะ แต่แม่ง...เครียดว่ะ! ไอ้อาร์มบอกว่าหย่งฉีตัวละครสุดโปรดของผมน่าจะตุยเย่กลางเรื่อง ทำไงดีวะเนี่ย!!!
“ถึงแบบนั้นก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็น...”
“ก็คือเวลานอนกับเวลาดูซีรีส์ให้มันเท่าๆกันอ่าครับ” ไอ้พลว่าออกมาจนผมต้องหันไปมองมันตาขวาง
“โอโห...กล้ามากที่จะพูดคำนั้นออกมา มึงอินมากกว่ากูอีกจ้ะ! พอกูจะปิดมึงก็บอกว่าต่ออีกตอน ต่ออีกตอน มึงทั้งนั้นหน่ะไอ้พล!” ผมโวยวายออกไปเสียงดังลั่น โดยไม่แคร์เลยว่าตอนนี้ลุงหมอกำลังถอนหายใจใส่ผมเป็นรอบที่ร้อยกว่าแล้วมั้ง...แล้วยังไงในเมื่อตอนนี้ หย่งหัวมันคิดจะชิงบัลลังก์แต่กูเมนองค์ชายห้าหย่งฉีนี่หว่า กูก็เข้าใจความรู้สึกมันนะ แต่ห่าเอ้ย! องค์ชายห้าของกูจะต้องไม่ตายสิวะ กูเครียดมากนะเว้ย!!!
“แต่เวลาผมเสนอคุณหนูก็ไม่ต้องสนองทุกครั้งก็ได้นี่ครับ”
“สรุป! มึงไม่ได้ห้ามคุณหนูเลยใช่มั้ย!”
เพี๊ยะ!!
“โอ๊ยยยยย!”
ไอ้อาร์มได้ทีก็โบกหัวไอ้พลไปในทันที เอามันเลยไอ้อาร์ม แม่ง! ตัวดีเลย ตั้งใจดูมากกว่ากูอีกมั้ง พอกูโดนด่าก็ชอบมาโบ้ยกูคนเดียว! ถ้ากูเกิดในยุคราชวงศ์ชิงจะสั่งประหารไอ้พลคนแรกเลย หมั่นไส้!
“กูฝากคุณหนูไว้กับมึงไม่ได้เลยนะ”
“กูก็เครียดกับการแต่งตั้งตำแหน่งกุ้ยเฟย กับ เฟย เหมือนกันนี่หว่า...” ไอ้พลบ่นพึมพำพลางลูบหัวตัวเองปรอย ๆ แต่ก็ดูไม่ได้สำนึกเหี้ยอะไรเลย
“ใช่ป่ะ! กูเข้าใจความเป็นลูกคนโตของหย่งหัวนะเว้ย! แล้วแม่บุญธรรมนางก็เป็นกุ้ยเฟยนางก็ต้องมีหวังอ่ามึง” ผมที่ได้ยินไอ้พลบ่นเรื่องที่มันติดอยู่ในสมองผมก็ยิ่งผสมโรง
“แต่หย่งฉีก็เป็นลูกบุญธรรมของกุ้ยเฟยเหมือนกันนะครับ”
ปึ่ก!!
“โอ๊ยยย! มึงพอเลยนะ กูกับไอ้พีทไปทำงานให้คุณคินน์แปบเดียวพากันเถลไถลกันใหญ่เลย!!!” ไอ้อาร์มเขกหัวไอ้พลอีกรอบไม่วายดึงหูไอ้พลขึ้นลงไปมาจนทำให้บอดี้การ์ดที่เหลือด้านหลังต่างเม้มปากกลั้นขำกันเป็นแถว เลยทำให้บรรยากาศในห้องครื้นเครงเป็นอย่างมาก จนดูเหมือนว่ามากเกินไปจน...
“ไปๆๆ ไปรับยาที่ช่องหนึ่งกันไป”
“ขอบคุณครับลุงหมอ”
ลุงหมอรีบโบกไม้โบกมือไล่พวกผมให้ออกไปพ้นหูพ้นตา เค้าชินกับพฤติกรรมของพวกผมเป็นอย่างดีเหตุเพราะเป็นหมอประจำตัวผมมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันและที่สำคัญที่นี่ก็เป็นโรงพยาบาลในเครือของบริษัทตระกูลของผมด้วย แล้วจะต้องแคร์อะไรล้าาาาาา....
“คืนนี้กี่ตอนดีวะพล จะถึงตอนแต่งตั้งรัชทายาทป่ะ ?” พอผมพูดประโยคนี้ไอ้พลก็รีบสะกิดหลังผมยกใหญ่...ผมเลยหันไปมองด้านหลังทั้งซ้ายและขวาเห็นไอ้อาร์มจ้องผมตาเขียวปั๊ด จนผมต้องลอบถอนหายใจแล้วชักสีหน้าใส่มันอย่างสุดจะเซ็งแล้วเดินนำหน้าพวกแม่ง! ออกไปด้วยความรำคาญใจขั้นสุด! ไอ้พีทไม่อยู่นึกว่าจะได้มีชีวิตอิสระแล้วเชียวเพราะไอ้เวรตะไลนั่นเคี่ยวมาก! คุณหนูต้องไปเช็คบริษัท ตรวจรายงานการประชุม ไปดูโรงงานบ้างนะครับ เอกสารตรงนี้ต้องทำแบบนี้นะ เซ็นต์เอกสารต้องตรวจให้ชัด ดูรายรับรายจ่ายนู่นนี่นั่น สารพัดจะเจ้ากี้เจ้าการ ถ้ามึงเก่งมาก! ไม่ทำเองหล่ะ!!! ไอ้ควาย! แล้วนี่ยังเสือกจะมาคายตะขาบใส่ไอ้อาร์มอีก แหม...ทำงานกันเป็นทีมนักนะ! สักวันกูจะแจ้งความจับพวกมึงข้อหาข่มขืนจิตใจกู!
“ดั่งวาโยพัดโบกเหนือภูผาธารา ~” ผมเดินฮัมเพลงจีนมาเรื่อยๆโดยไม่ได้มองใครหน้าไหนทั้งนั้นถึงแม้จะรู้ดีว่ามีสายตาประมาณหลายสิบคู่กำลังจับตามองผมอยู่ ก็แน่อ่ะ คนมันเท่! อิอิ
“กลับไปนอนเลยนะครับ...ห้ามเปิดทีวี”
“มึงเป็นพ่อกูไง๊!”
“ไม่งั้นผมจะตัดสายโฮมเธียเตอร์และตัดไฟห้องคุณหนูทั้งหมด”
“เหอะๆ มึงมันแน่! แน่มาโดยตลอดดดด...เก่งไอที ดูดีมีระดับ คิดว่าจะทำอะไรก็ได้หร๊อ ?” ผมว่าออกไปพลางเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ครับ! ทำแน่” ไอ้อาร์มตอบกลับมาเสียงหนักแน่น ทำให้ผมต้องหายใจเข้าออกถี่ ๆ ด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก ไอ้โอหังเอ้ย! เบิกเครื่องประหารหัวสุนัขได้ที่ไหนบ้างวะ สัส!
“ไอ้เผด็จการเอ้ยยยย!!!” ผมว่าออกไปเสียงขุ่นเคือง
“แล้วนี่ยา สองเม็ดพอถึงรถแล้วต้องทานเลยนะครั...เห่ย!!!!”
“เห่ย!”
“เห่ยยยยย!!!!”
อุ้ก! อุ้ก! อุ้ก! อุ้ก! ผมหยุดกระทันหันพร้อมกับอ้าแขนออกให้ไอ้พวกเห็บหมาที่เกาะติดชีวิตผมยิ่งกล้อง CCTV ชะงักฝีเท้าเบรคกันหัวแทบทิ่มแล้วไอ้อาร์ม ไอ้พลและคนอื่น ๆ ก็ชนหลังผมต่อๆกันมาเป็นทอด ๆ เพียงเพราะ...สายตาที่ผมมองฟ้า มองอากาศ ลอยหน้าลอยตาไปเรื่อยๆแต่ก็ดันสะดุดเข้ากับ...
“ไอ้มาเก๊า...” ผมกัดฟันพูดออกมาเบาๆ
“อะไรครับคุณหนู”
“สิบนาฬิกา” ผมบอกพวกมันให้หันเหสายตาไปตามจุดที่ผมมองเป็นรหัสของเข็มตามหน้าปัดของนาฬิกา แล้วพวกมันทุกคนก็หันไปโดยพร้อมเพรียงกันอย่างว่องไว
“เห้อออออ....” เสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายไม่ได้ทำให้ผมระคาย หรือสะกิดต่อมความรู้สึกใด ๆ ผมได้เลย เพราะสายตาของผมดันไปโฟกัสแค่...หึ...โคตรเหง้าของผมที่อยู่ในชุดมัธยมหน้าตาแม้จะดูผู้รากมากดีไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่ขอบอกว่ามันคนละชนชั้นวรรณะกันเพราะมันถูกสถาปนาให้เป็นตระกูลรอง...และแน่นอนว่ากระดูกมันคนละเบอร์กับลูกชายตระกูลหลักอย่างผมแน่นอน ผมหน่ะชังน้ำหน้ามันนักแม้จะใช้นามสกุลเดียวกัน แต่ด้วยศักดิ์ศรีมันเทียบไม่ได้หรอกนะ ผมเป็นเพชรส่วนมันเป็นแค่กระเบื้อง หรือถ้าเปรียบเป็นดอกไม้ไอ้มาเก๊าก็แค่ดอกไม้ริมทางถึงสีจะสวยดีแต่ก็ไม่มีใครเค้าหยิบใส่แจกันหรอก เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะมันเป็นดอกไม้สีทองยังไงล่ะ เหอะ!
“ไม่จับมัด ไม่ลักพาตัว ไม่แกล้ง และห้ามมีเรื่อง!”ไอ้อาร์มว่าอย่างรู้ทันจนผมต้องมองบนแล้วฉุนเฉียวใส่ไอ้เวรตะไลนี่ทันที
“ทำไม!!!”
ขี้ข้าผมเค้าชักจะกําเริบเสิบสานไปกันใหญ่แล้วนะทำไมชอบทำตัวเป็นพ่อผมอยู่เรื่อย...ก็รู้ทั้งรู้ว่าตระกูลหลักกับตระกูลรองมันบาดหมางกันมานาน อีกอย่างไอ้มาเก๊าก็เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของผม แม้...ป๊ามันจะเป็นอาเจ๊กของผม แล้วป๊าผมจะเป็นอาแปะของมัน แต่กูจำได้นะตั้งแต่เด็กจนโตโคตรเหง้ามึงก็ไล่แกล้งกู ไล่ทุบกูมาตลอดไอ้ควาย!!! จะด่าโคตรแม่งก็ไม่ได้! เสือกใช้โคตรเดียวกันอีก เซ็ง!!! สกิลปากมันเหมือนตอนแม่มันคลอดแล้วผีเจาะปากมันมาเกิดอ่ะ! พูดคำว่า ‘ชาติเปรต’ ก่อนคำว่า ‘อุ๊แว๊’ อีกมั้ง...พวกมันอัปรีย์ตั้งแต่เด็ก! อย่าให้ผมพูดมากไปกว่านี้เลยต่อให้มีร้อยหน้ากระดาษก็สาธยายความชั่วพวกมันไม่หมดหรอกครับ
“คุณหนูป่วยจะเอาอะไรไปสู้เค้าละครับ” ไอ้พลดึงแขนผมพยายามลูบหลังไปมาแล้วตบเบา ๆ เหมือนปลอบประโลมเด็กเล็ก
“ใครบอกว่ากูจะทำเอง! พวกมึงไง! ที่ต้องล้างแค้นแทนกู!!!”
ผมจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้นะ เวลาเล่นกันพวกมันก็ชอบเล่นแรง แล้วตระกูลรองชอบให้คนมาลักพาตัวผม แล้วจับตัวผมบ่อย ๆ ด้วย เพราะอะไรหน่ะ
เหรอ...เพราะมันเล่นสงครามประสาทกับป๊าผมไง มันรู้ว่าผมเป็นลูกชายคนโตเลยต้องการที่จะกำจัดผมให้พ้นหูพ้นตา ไม่เป็นขวากหนามไปสู่เส้นทางอันยิ่งใหญ่ที่พวกมันกำลังไต่กันอยู่ หึ! มึงคงรู้ตัวแล้วสินะว่ากูมีอำนาจบาดใหญ่ขนาดไหน ความสามารถกูก็เยอะ กูเก่งรอบด้าน เหอะ! กูยอมรั๊บบบบบบบ...เพราะกูเพอร์เฟกต์มาก อิพวกขี้อิจฉา! ถ้ากูได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลหลักเมื่อไหร่กูจะสั่งเก็บพวกตระกูลรองก่อนเลย ไอ้พวกเหยดแม่!!!
“เห้อออออ” ผมไม่สนใจเสียงบอดี้การ์ดด้านหลังที่มันกำลังจะคัดค้านแล้วส่งเสียงเอือมระอากันออกมาอย่างถ้วนหน้าหรอกนะ...เพราะสายตาผมเอาแต่จับจ้องไปที่คู่อริตลอดกาลของผมแต่เพียงผู้เดียว มันนั่งอยู่ที่สวนข้างอาคารวีวีไอพีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บนโต๊ะเบื้องหน้ามันเต็มไปด้วยหนังสือ ไม่รู้ว่ามันจะยิ้มเขินให้พวกอักษรพวกนั้นทำไม มันเขียนคำว่าจีบหรือแอบรักอยู่ในนั้นเหรอ ? ตลก! เหมือนคนบ้า หรือแม่ซื้อมึงมาเล่นด้วยแบบแปลงร่างมาเป็นสมการหรือตัวเลขเหรอวะ สาดดดด!!! เพ้อเจ้อฉิบหาย! และทันใดนั้นเอง...
“หลบๆ...หลบ...”ผมหมุนตัวมาหลบอยู่ที่หลังเสาพลางโบกไม้โบกมือให้พวกบอดี้การ์ดห้าหกคนที่ติดตามมาด้วย เรียงแถวกันเป็นเส้นตรงเกาะหลังผมให้พ้นสายตาจากไอ้มาเก๊าและคนที่มาใหม่ “ใครวะ...” ผมเกาะขอบเสามองเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างพิจารณา มีผู้ชายคนนึงเดินมาหามาเก๊าพร้อมกับแก้วน้ำส้ม...แหม...แดกน้ำส้ม นางเอกมากมั้ง กูอยากจะถุย! แต่นั่น!!! มันบิดแล้วยิ้มกว้างอะไรขนาดนั้นวะไอ้มาเก๊า ติ๊งต๊องปะเนี่ย แล้วไอ้คนมาใหม่ดูท่า...จะเป็นหมอของโรงพยาบาลผมซะด้วยเพราะดูจากยูนิฟอร์มที่ใส่ยี่ห้อมันก็บอกอยู่แล้วป่ะ ? แต่ไม่คุ้นหน้าเลยแหะ หมออะไรวะ จิตเวชป่ะ ? ไม่คุ้นเลยอ่ะ เพราะไม่เคยไปแผนกนั้น...
“คุณหนูๆๆๆ” ไอ้พวกเวรนี่ก็ขี้ขัดเหลือเกิน ชาติก่อนมึงเกิดเป็นสก๊อตไบร์ทกันแง๊ะ ? โว๊ะ!!! ดึงเสื้อกูอยู่ได้! ยืดหมดแล้วเนี่ยไอ้สาดดดดดด
“ชู่ววว!!!~” ผมเอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากส่งสัญญาณบอกพวกมันตัดความรำคาญโดยไม่หันไปมองด้านหลังแม้แต่น้อย
“คุณหนู!”
“ทำไมดูสนิทกันจังวะ”ผมพูดถึงบุคคลสองคนที่อยู่ในสายตาผม ที่ขณะนี้ผมไม่ยอมให้คาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
“คุณหนู!!!”
“มึงอย่าเอะอะกันได้มั้ย ? เดี๋ยวก็มีพิรุธหรอก” ผมด่าพวกมันแล้วกำลังจะหันกลับไปตะคอกให้หยุดเรียกชื่อกูกันสักที...แต่แล้ว
“อุ้ย!” ผมเอามือทาบอกด้วยความตกใจเมื่อพบว่าคนที่ผมหันไปเจอไม่ใช่บอดี้การ์ดแต่เป็น...
“มึงทำบ้าอะไรเนี่ยห้ะ! พิรุธห่าอะไรคนเค้าแตกตื่นกันทั้งโรงบาลแล้ว”
“ป๊า”
“ยืนเรียงแถวกันทำลับ ๆ ล่อ ๆ เค้าไม่แจ้งตำรวจมาจับพวกมึงก็บุญแล้วนะ”ผมปรายตามองลูกน้องของผมที่ขณะนี้พวกมันอยู่ในท่าทีสำรวมแล้วก้มหน้าก้มตากันเป็นแถว เกร็งกันหมด ดูท่าจะกลัวน่าดู แต่กลัวห่าอะไรละ...ป๊ากูไม่ใช่ผี!
“ป๊า! มาก็ดีละ หลบ ๆ” ผมรีบจับมือป๊าดันตัวมาหลบที่หลังเสาด้วยกัน
“อะไรของมึง”
“นั่นใครอ่ะป๊า” ผมชี้นิ้วไปที่โต๊ะข้างตึกที่มีอริผมและใครก็ไม่รู้นั่งอยู่
“โอ๊ย! ป๊า อย่าโผล่หน้าไปเยอะสิ เดี๋ยวมันก็เห็นหรอก” ผมรีบดันป๊ากลับมาให้อยู่กับร่องกับรอยเหมือนเดิม
“มาเก๊า...น้องมึง ลูกเจ๊กไง” ป๊าว่าออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันมุ่นพลางมองผมอย่างงงงวย
“ไม่ใช่! โอ๊ยป๊า!!! คนนั้นอ่ะคนนั้น!”
โอ๊ยยยย...กูจะบ้ากับคนในตระกูลกู ไม่เว้นแม้แต่ป๊า ยังไม่ให้ความร่วมมือกับกูเลย อย่าหวังไปถึงพวกลูกน้อง มันถึงไม่ค่อยเคารพกูไง โว๊ะ!!!
บ้าๆบอๆกันทั้งนั้น เบื่อจะทน!
“นั่นอะนะ...” ป๊าเพ่งมองอย่างพินิจก่อนจะนิ่งเงียบไปแล้วหันมาตอบผมด้วยความเรียบเฉย
“หมอใหม่”
“หมอใหม่ ?”
“อืม…ชื่อท็อป” ผมเลิกคิ้วมองท่าทีทุกอย่างของไอ้มาเก๊าพร้อมกับพิจารณาไปยันลูกกระตาของมันที่ดูเปล่งประกายวาวโรจน์ราวกับว่ากำลัง...ตกหลุมรัก
อ๋ออออออ....เข้าใจละ หึ! เจอกู
