บทที่ 6 TTS EP.3 The Letter (1)
-Top-
“คุณแทนคุณ!!!” ผมวิ่งตรงไปยังร่างอันไร้สติฉับพลันของลูกชายคนโตแห่งตระกูลมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงเวลานี้ ‘ธีรปัญญากูร’ หรือที่ถูกสถาปนาให้เป็นตระกูลมาเฟียที่แทรกแซงอยู่ทั่วทุกองค์กร ทั้งอุตสาหกรรม การค้าขาย อสังหาริมทรัพย์ ขนส่ง หรือแม้แต่ธุรกิจสีเทาลามไปดำสนิทชนิดที่คาดไม่ถึงกันเลยแหละครับ มันคงเป็นธรรมดาของการทำธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนานหลายสิบปีตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ สั่งสมบุญบารมีจนส่งต่อมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ใครเกิดในครอบครัวนี้คงเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์เลยมั้งครับ เพราะต่อให้ไม่ทำงาน ไม่ต่อยอดธุรกิจ ไม่พัฒนาอะไรเลย มรดกทั้งหลายก็คงกินเผื่อแผ่ได้ทั้งชาตินี้และชาติหน้าเลยก็ว่าได้...หึ ดูตัวอย่างอย่างลูกชายคนโตของตระกูลสิครับ
แทนคุณ ธีรปัญญากูร
ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายคนโปรดเปรียบดั่งแก้วตาดวงใจและทุกสิ่งทุกอย่างของหัวหน้ามาเฟียที่น่าเกรงขามที่สุดนั่นคือ ‘คุณกรณ์’ หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกติดปากกันว่า ‘คุณท่าน’ อืมมมม...ดูภายนอกท่านช่างเป็นคนที่ดูสุขุม นุ่มลึก บารมีแผ่ไพศาล ช่างน่ายำเกรงแต่บางมุมก็เต็มไปด้วยความเมตตาโดยเฉพาะเวลาอยู่กับลูกของเขา และต้องเป็นลูกชายคนนี้เท่านั้นถึงจะเห็นว่าบุคคลที่มีแต่คนนับหน้าถือตาและยิ่งใหญ่ ดูอบอุ่น ร่าเริง และใจดีจนผิดปกติมากแค่ไหน แทนคุณเหมือนเป็นความสดใสของชายสูงวัยผู้นี้เป็นอย่างมาก เอ่อ...แต่เอาจริง ๆ เขามีลูกที่เชิดหน้าชูตาแล้วออกหน้าสื่อตลอดก็สามคนอะนะ คือ คุณ คินน์ คิม คนที่เด่นมากที่สุดคือ คินน์ และ รักมากที่สุดคือ คุณ ส่วน คิม...ผมไม่แน่ใจเพราะไม่ค่อยเห็นเขาคนนั้นมีบทบาทอะไรเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมต้องโฟกัสไข่ในหินของตระกูลมาเฟียที่อยู่ในอ้อมแขนของผมตอนนี้ก่อนแล้วกัน ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่แน่
“ห้อง อีอาร์!” ผมอุ้มร่างนั่นเข้าไปที่ตึกวีไอพีพร้อมกับการสถานการณ์โคตรจะแตกตื่นของผู้คนโดยรอบทั้งบรรดาบอดี้การ์ดและเหล่าบุคลากรในโรงพยาบาลที่น่าจะชินกับคนไข้ที่มีสภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ แต่ด้วยศักดินาที่เป็นถึงลูกชายของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดจนแทบจะเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ก็ต่างพากันช็อคตาตั้งทำอะไรกันแทบจะไม่ถูกเลย ดูเกรงกลัวกันมาก ๆ เลยครับ
“ท็อป!…” ผมพยักหน้าทักเพื่อนแล้ววางร่างคุณแทนคุณไปที่เตียงด้วยความรีบร้อนก่อนจะตรวจวัดชีพจร และรีบหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบแล้วตรวจตามร่างกายคร่าว ๆ
“วัด ไวทัล ไซน์ ให้หน่อยครับ” ผมหันไปบอกพยาบาลที่กรูเข้ามาหาผมประมาณสามสี่คน ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างการเต้นของชีพจรที่ดูไม่สม่ำเสมอเอาเสียเลย
“บีพี 80/50 ฮาร์ทเลส 52 เลสเลส 16 ออกซิเจนแฟลก 90 เทมป์ 36 ค่ะ”
“ออกซิเจนซัพพอร์ตเลยครับ เจาะเลือดส่งตรวจ แล้วก็...” ผมสั่งทุกอย่างโดยสัญชาตญาณและความรู้ที่เรียนมาก่อนจะให้ผู้ช่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ พร้อมนำเข็มฉีดยามาเจาะเลือดให้เร็วที่สุด “ขออีเคจีด้วยครับ” ผมเอากรรไกรตัดเสื้อของคนไข้ออกเผยให้เห็นแผ่นอกเนื้อขาวละเอียดพร้อมกับนำเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาติดเอาไว้เพื่อตรวจดูความผิดปกติและเตรียมการรักษาต่อไป
“ประวัติทางการแพทย์ของคุณหนูค่ะ” แล้วพี่จุ๋มพยาบาลที่อาวุธโสและอยู่ที่นี่นานที่สุดก็เอาแฟ้มเป็นปึกยื่นมาให้ผม ทำเอาผมชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่าทำไมมันถึงได้หนาขนาดนี้ผมเปิดดูการรักษาครั้งล่าสุดแบบคร่าว ๆ ค่าความดันของเขาเหมือนจะต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สภาพร่างกายขาดการพักผ่อนเหมือนจะนอนน้อยด้วย ทำงานเยอะเหรอ ? ...แต่ที่เคยได้ยินมาเป็นคินน์มากกว่าที่รับภาระเยอะกว่าใคร หรือจริง ๆ แล้วแต่ละคนคงมีหน้าที่เป็นของตัวเองอยู่หนักหนาสาหัสจนแทบไม่ได้ดูแลตัวเอง แต่อาจารย์หมอก็สั่งวิตามินซะเยอะเลย สุขภาพคงไม่ดีจริง ๆ สินะ
“หื้มม?” ผมเปิดดูไปพลางรอค่าตรวจวัดร่างกายของเขาให้มันเสถียรเพื่อจะได้สั่งการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยทันที “โอเค...ให้ออกซิเจนแคนนูล่า 3 L/min On Normal Nss 200 ml. ครับ”
“ได้ค่ะ”
ผมบอกปริมาณการให้ออกซิเจนและน้ำเกลือ ดูทรงแล้วแค่อาจจะเป็นลมแดดแล้วหมดสติไปเฉย ๆ ผลประเมินทุกอย่างก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ที่ผมให้ความสนใจมากกว่าคือแฟ้มที่อยู่ในมือ ซึ่งตอนนี้พยาบาลต่างพากันค่อย ๆ ทยอยออกไปและผมก็ดึงโต๊ะลากเข้ามาวางเอกสารนี่ไว้แล้วเช็คดูตรงจุดที่มันสำคัญเพราะมันเยอะจนผมประหลาดใจจริง ๆ
“คุณหนูเป็นโรคหัวใจตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ แกเลยเหนื่อยง่าย ตากแดดตากลมไม่ค่อยได้” พี่จุ๋มเดินกลับมาในห้องอีกรอบแล้วตรวจเช็คอุปกรณ์อ่านค่าต่าง ๆ และดูแลความเรียบร้อย
“อ๋อ…พี่จุ๋มช่วยอาจารย์หมอดูเคสนี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ แต่พี่ก็เข้ามาหลังจากที่ผ่าตัดเสร็จแล้วนะ ตอนนั้นก็แข็งแรงขึ้นมากแล้วแหละ”
ผ่าตัด...งั้นเหรอ ? ผมเปิดไปดูเอกสารหน้าท้าย ๆ เพื่อดูขั้นตอนการรักษาในช่วงนั้น...ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกหน่วงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ จุกและไม่สามารถอธิบายอะไรออกมาได้เลยเพราะผมก็มีเหตุผลที่ต้องมาเป็นแพทย์ทางด้านหัวใจเหมือนกัน
มันเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเพื่อนำพาออกซิเจนและธาตุอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
แต่เพราะทุกครั้งที่เราเสียใจและเจ็บปวดมันก็รู้สึกออกมาจากหัวใจเช่นกัน แล้วมันยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตอยู่ที่คงไว้ซึ่ง ‘ความรัก’ หรือ ‘ความแตกสลาย’ ในคราเดียวกัน
ผมเกลียดการที่หัวใจหยุดทำงาน...เพราะเท่ากับว่าเขาได้ตายจากไปตลอดกาลอาจจะเป็นอีกเหตุผลนึงมั้งที่ผมต้องการให้หัวใจของทุกคนเต้นและรับรู้ถึงความหมายของทุกความรู้สึกที่บางครั้งสมองทำหน้าที่แค่เก็บเรื่องราว แต่หัวใจจะสัมผัสได้ถึงความทรงจำ เหมือนผมในตอนนี้ที่กำลัง...คิดถึง
“ท็อป...เราชอบเพลงนี้อ่ะ”
“เพลงเศร้าอีกอะดิ”
“ไม่ใช่...เพลงบอกรัก”
“หื้ม ? ไหนร้องดิ๊”
“ของท็อปต้องท่อนนี้ ๆๆ ฟังนะ...อะแฮ่มม...เก็บรักฉันไว้ในใจเธอก่อน ฉันยังไม่พร้อมจะเอามันกลับมา และหากวันใดที่ใจเธออ่อนล้า ได้โปรดจงรู้ว่าเธอยังมีฉัน อยู่ตรงนี้ที่เดิมในใจ~ เพราะป่ะ...?”
“อื้ม”
“อมยิ้มไร เขิลอะดิ้ เขิลปะคร้าบ เขิลเหรอ ๆ”
“ไอ้บ๊องเอ้ย!”
ผมยังคงหัวใจเต้นแรงทุกครั้งเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนมีความสุขร่วมกัน ผมยังจดจำทุกรายละเอียดทั้งท่าทางทะลึ่งทะเล้น แววตาที่เป็นประกาย รอยยิ้มที่แสนสดใส น้ำเสียงที่ดูร่าเริง มันฝังลึกอยู่ในหัวใจและไม่เคยจางหายไปได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
พี่รู้ไหม...ผมก็ยังรอพี่อยู่ที่เดิมในใจเสมอเลยนะ พี่ธนา
“ท็อป...ท็อป” ผมเงยหน้าขึ้นออกจากกระดาษที่เขียนข้อมูลไว้มากมาย แต่สายตาผมกลับเหม่อมองไปไกลจนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาบันทึกการรักษาอะไรเอาไว้บ้าง “ท็อป...” คุณแทนคุณขยับตัวเล็กน้อยแต่ผมเหมือนผมจะได้ยินเสียงเรียกอันแผ่วเบาลอยมาตามสายลมซึ่งฟังไม่ค่อยถนัดนัก
“คุณแทนคุณครับ...คุณแทนคุณ” ผมวางเอกสารทั้งหมดลงแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ ที่เตียงที่เขานอนอยู่
“ท็อป..นี่..” ผมเหมือนได้ยินคุณแทนคุณพูดอะไรบางอย่างทั้ง ๆ ที่ตาเขาหลับอยู่ ผมเลยถือวิสาสะ โน้มศีรษะเอียงข้าง ๆ เอาหูแนบ ๆ เนียน ๆ ไปที่บริเวณริมฝีปากของเขาเพื่อฟังสิ่งที่ผมไม่เข้าใจและเขาน่าจะกำลังละเมอออกมา...
“อื้อออ”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยและสำรวจอุปกรณ์ที่วัดค่าต่าง ๆ บนตัวของคนไข้ซึ่งมันก็ดูปกติไปเสียทุกอย่าง ตอนนี้สภาวะร่างกายดูเข้าที่ ไม่มีอะไรให้ต้องวิตกเลย ขอให้เขาแค่หายจากอาการเพลีย ได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อฟื้นขึ้นมาก็แค่นั้น อย่างน้อยก็คงรอจนกว่าน้ำเกลือจะหมดขวด แล้วกลับบ้านไปพร้อมกับยาที่เขาได้มาจากอาจารย์หมอ...แล้วตอนนี้ก็ทำได้แค่รอเท่านั้น แต่...
“คุณแทนคุณ...” ผมลองเรียกเขาดูอีกครั้งเพราะเสียงพึมพำในลำคอยังคงอื้ออึงอยู่เป็นระยะ
“มีไรวะท็อป ?” ไอ้หมอซันเพื่อนผมที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวนี้ เดินเข้ามาถามด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น
“สงสัยละเมอ” ผมว่าออกไปแล้วยืดตัวตรงปรับวอลลุ่มน้ำเกลือให้ไหลลงช้าอีกนิด เผื่อได้จะฟื้นฟูร่างกายให้มากขึ้น
“ลูกชายคนโตตระกูลหลัก...?” ไอ้หมอซันเลิกคิ้วถามพลางเอียงตัวเอาไหล่ไปพิงไว้กับกำแพงแล้วกอดอกเพ่งไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างพิจารณา
“อื้ม”ผมพยักเพยิดหน้าตอบพร้อมเดินไปปิดแฟ้มลง
“หล่อนี่หว่า...แต่ทำไมแต่งตัวงั้นวะน่ะ” ไอ้ซันพูดออกมาเบา ๆ อืม...ผมก็แอบสงสัยกับสไตล์เขาเหมือนกัน เสื้อก็แปลก กางเกงก็แปลก รองเท้าก็แปลก เจ้าตัวเขายังแปลกเลย
