บทที่ 3 Chapter 3
“ฮะ!”
เพราะหน้าเปียกน้ำตาที่คอยวนเวียนในหัวทำให้ชลวัสเผลอหลุดปากออกมา ทำให้วินหน้าตาเหลอหลา เขาปรายมองมันก่อนจะหันมาดูดกาแฟอึกใหญ่
“ผมรู้ว่าลูกพี่เอ็นดูผมมาแต่เด็ก แต่การด่าว่าเด็กโง่นี่ มันไม่น่าใช่แนวนะครับ”
“ไอ้วิน...”
“ครับผม”
“กูอยากเหยียบยอดหน้ามึงจะแย่ มึงเอาสมองส่วนไหนคิดว่ากูด่ามึง ไอ้เหี้ย!”
วินยิ้มแป้นรีบพารถออกจากสถานีตำรวจ นี่แหละลูกพี่ของเขา ไอ้หน้าตายิ้ม ๆ ท่าทางสนุกสนานนั่นมันหน้ากากเทวดา เขามันโตมาด้วยลำแข้งของชลวัสถึงรู้ว่าหน้าไหนมันคือตัวจริง
“กูมีงานให้มึงทำ”
ชลวัสวางแก้วกาแฟไว้บนที่วางแก้วหน้ารถ เอนหลังพิงเบาะทอดตามองภาพการจราจรน่าเบื่อหน่าย เอ่ยปากสั่งการเสียงเรียบ
“ให้เวลามึงถึงเที่ยง”
“ได้เลยครับลูกพี่”
ถึงวินจะเพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยมาเพียงสองปี หากในเรื่องของงานแล้วหมอนี่มีฝีมือใช้ได้ ชลวัสหลับตาลง เขาไม่ได้จะนอน แค่ไม่อยากเห็นหน้าลูกน้อง เห็นแล้วกลัวจะอดใจกระทืบมันไม่ไหว ข้อหาโง่งมเกินไป แค่ถูกจับเข้าห้องขังก็หาทางออกไม่ได้ต้องตามเขามาเคลียร์
“แล้ว...ลูกพี่จะไม่ถามถึงเรื่องที่ให้ผมไปจัดการเหรอครับ”
ขับรถออกจากสถานีตำรวจได้พักใหญ่ วินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้ไม่มีเสียงตอบ เขาลอบชำเลืองมองคนข้างกาย ลูกพี่นั่งหลับตานิ่ง ๆ แต่เขารู้ว่าไม่ได้หลับ
ชลวัสผ่อนลมหายใจยาว อีกฝ่ายเรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเงียบ นั่นคือ ห้ามเซ้าซี้ ลูกน้องคนสนิทก็เลือกขับรถไปเงียบ ๆ
อึดใจใหญ่เสียงไร้อารมณ์จึงดังขึ้น
“ทำไมกูต้องอยากรู้เรื่องที่รู้อยู่แล้ว”
เรื่องราวหลายอย่างวาบผ่านสมองจนอดที่จะแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมาไม่ได้ เรื่องพวกนั้นมันทำให้ชายหนุ่มนึกไปถึงสาวน้อยหน้าเปียกหลังลูกกรง
เด็กสาวแสนอ่อนแอและอ่อนต่อโลกจนน่าบีบบี้ขยี้ทิ้งให้สาสมกับความไม่เอาไหนของเจ้าหล่อน
ในหัวของเขากลับไม่สามารถสลัดภาพของเด็กสาวคนนั้นออกไปจากความคิดคำนึงได้อย่างน่าขัดเคืองใจ มันพานทำให้นึกย้อนกลับไปถึงการพบกันครั้งแรก
สามวันก่อนนั้น...
ชลวัสแหงนหน้ามองคอนโดหรูกลางกรุงแล้วแสยะยิ้มก่อนจะก้าวเข้าไปยังล็อบบีด้านหน้าซึ่งตอนนี้ไร้เงาพนักงาน เขาได้รับรายงานมาสักพักแล้วว่าคนที่ต้องการตัวพากันซุกหัวกบดานอยู่ที่นี่ เขาปล่อยให้พวกมันหวาดผวาเล่น ๆ ในช่วงแรก จากนั้นก็เริงรื่นออกเที่ยวสำเริงสำราญเมื่อไม่มีใครตามตัวพวกมัน
เขามันพวกชอบเล่น เล่นให้เหยื่อตายใจแล้วค่อยเชือด
เขาเหมือนเงา ต่อให้พวกมันหลบเลี่ยงแค่ไหน หนีไปไกลเท่าไหร่ก็ไม่มีทางพ้น เช่นร่างกายที่ต้องมีเงาติดตามตัวตลอดเวลา
เขาเล่นสนุกพอแล้ว
ร่างสูงเดินเอื่อยเฉื่อยไปยังหมายเลขห้องเป้าหมาย
เคาะปลายนิ้วบนบานประตูสองครั้งมันก็เปิดออก นั่นเพราะข้างใน คนของเขาห้าคนเคลียร์ทางไว้แล้ว
ชลวัสก้าวเข้าไปในห้อง บุคคลสองคนที่ถูกมัดมือไพล่หลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโซฟาตัวใหญ่ก็ตาเหลือกถลน
“ไอ้ชลวัส!”
แน่นอนว่า เขาไม่ได้สั่งให้ปิดปากพวกมัน จะว่าเป็นโรคจิตเสพติดการได้ดูได้เห็นความทรมานของเหยื่อที่กำลังถูกเชือดก็ว่าได้
“ไง คุณแดน คุณเอิร์ท เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“ต้องการอะไรวะ พวกกูทำอะไรให้ถึงต้องบุกมาจับตัวกันแบบนี้”
“พวกกูไม่ได้ติดหนี้พวกมึงแล้วนะ”
ทั้งสองแข่งกันตะโกนเสียงลั่นห้อง หากด้วยคุณภาพของวัสดุก่อสร้างทำให้เสียงพวกมันไม่สามารถเล็ดลอดออกไปนอกห้องได้ ไม่อย่างนั้นคงเสียชื่อ คอนโดสุดหรูหราในเครือศิลาลักษณ์เป็นแน่
พวกมันสองคนพากันหลบมาหมกตัวที่นี่ คงคิดทำตามคำพูดที่ว่า ‘ที่ที่อันตรายที่สุดมักปลอดภัยที่สุด’ เขากำลังพิสูจน์ให้พวกมันเห็นว่า นั่นมันก็แค่คำพูดประโยคหนึ่งใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ทุกกรณีเสมอไป
เอิร์ท อาทิตย์ ณรงค์ฤทธิ์เรืองชัย
แดน ดนัยวิช เลิศพงศ์พิเชษฐ์
“แน่ใจเหรอ”
ชลวัสกระตุกยิ้ม วางสมาร์ตโฟนลงบนโต๊ะกระจก กดปุ่มเพลย์บนคลิปเสียง
เอิร์ทกับแดนตาเหลือก หันมองหน้ากันทันที เสียงที่ดังออกมานั้น เป็นสิ่งที่พวกมันเคยคุยกันว่าจะทำอย่างไรกับอรนลินบ้าง
“นายกูไม่ปลื้มเลยว่ะกับสิ่งที่พวกมึงคิดจะทำกับเมียเขา”
เหตุที่ชลวัสต้องตามมาปิดบัญชีไอ้สองตัวนี้เพราะอรนลินเป็นเมียสุดที่รักของปฏิพัทธ์ ผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนของเขาเอง
“มะ มันก็แค่พูดเล่นเอาฮา พวกกูไม่ได้ทำเลยนะโว้ย”
เอิร์ทโวยวาย ดิ้นรนทำท่าจะขยับตัวหนี แต่ทั้งมือและขาถูกพันธนาการไว้ด้วยเคเบิลไทร์ชนิดพิเศษ
“ปละ ปล่อยพวกกูนะ พวกกูไม่ได้ทำอะไร ไม่งั้นกูจะแจ้งตำรวจลากคอพวกมึงเข้าคุก”
แดนฮึดฮัด แม้หวั่นกลัวแต่ก็จ้องอีกฝ่ายที่นั่งเอกเขนกเป็นเจ้าพระยาอย่างน่ากระทืบให้จมตีน แต่ในความเป็นจริง พวกมันต่างหากที่กำลังจะถูกกระทืบจมธรณี มันกวาดตามองชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ห้าคนที่ยืนรายรอบห้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดาแน่ ขณะที่มันกับเพื่อนก็แค่ลูกเศรษฐีมีเงินกินเที่ยวไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟีย แล้วยิ่งวสุหายตัวไปทั้งที่หมอนั่นเป็นลูกนักการเมืองคนดัง เขาก็ยิ่งหวาดหวั่น
“ฮ่า ๆ” ชลวัสปรบมือรัว ๆ หัวเราะตัวงอหงายราวกับฟังเรื่องขบขัน
