บทที่ 6 เวลาผ่าน คนก็เปลี่ยน
สิ่งที่กังวลคือการเผชิญหน้า เท่าที่รู้มาพี่คมยังพักอยู่ใกล้บ้านหล่อนเหมือนเคย แต่รมย์รวัตรเองพูดมีเหตุผล ทำไมหล่อนจะต้องให้เขามามีอิทธิพลกับชีวิตของหล่อนขนาดนี้
“ขอบใจมากนะวัตร ไว้เราเรียนจบก่อนแล้วกันแล้วขอคิดอีกทีว่าจะเอายังไง” หล่อนขอคิดเรื่องนี้ก่อนตัดสินใจอีกครั้งดีกว่า กว่าจะถึงเวลานั้นขอสร้างกำลังใจให้ตัวเองเสียก่อน
“อืม ดีแล้วมิ ลองคิดดู เราเองก็อยากกลับเมืองไทยแล้วเหมือนกัน”
มิลันดามองใบปริญญาในมือด้วยความภาคภูมิใจ บิดามารดาหล่อนเดินทางมาร่วมยินดีกับความสำเร็จครั้งนี้ด้วย
“เก่งมากนะลูกมิ จบแพทย์เกียรตินิยมเลยนะ” ชัยเดชชมเปราะ
“อยู่ที่นี่ไม่มีอะไรทำคะพ่อ วันๆ เลยอ่านแต่หนังสือ”
“ดีแล้วที่ลูกเรียนจบสักที แม่อยากให้ลูกกลับเมืองไทยได้แล้วนะ” ดาวเรืองเอ่ยกับบุตรสาวอีกครั้ง
“ได้ค่ะแม่ คราวนี้หนูยอมแม่แล้วกลับก็กลับโอเคไหมคะ”หล่อนยอมแล้ว เพราะมารดาบ่นหลายครั้ง หล่อนเองก็คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ และบ้านกับเตียงนอนแสนสบาย
“จริงเหรอมิ ดีแล้วลูก กลับบ้านเรากันเถอะ” ดาวเรืองระบายยิ้มสีหน้ายินดี
ดาวเรืองรั้งบุตรสาวมาโอบกอดไว้ รอคอยมานานเหลือเกินให้ลูกกลับเมืองไทย บินมาหาทุกเดือนก็ไม่หายคิดถึง เคยอยู่ด้วยกันพอยัยมิมาเรียนเป็นห่วงหมดทุกอย่าง พ่อกับแม่แก่เฒ่ากันทุกวัน ลูกเองกลายเป็นสาวเติบโตสมดังความหวังพ่อแม่ มิลันดาไม่เคยทำให้หล่อนและสามีผิดหวังเลย
“ดีแล้วลูก กลับบ้านเรากันพ่อจะได้ไม่ต้องห่วง”คนเป็นพ่อลูบศีรษะลูกด้วยความเอ็นดูเหมือนสมัยยังเด็ก
“ห่วงอะไรกันคะพ่อ หนูไม่ได้ทำตัวเหลวไหลสักหน่อย”
“จ้าๆ พ่อกับแม่รู้แล้วว่าลูกน่ะไม่ได้ทำตัวเหลวไหล” ชัยเดชรีบแก้
ดางเรืองดันบุตรสาวออกห่างกายแล้วยิ้มอ่อนโยน หล่อนมีเรื่องอยากบอกลูกมากมาย รวมถึงเรื่องชอบชายหนุ่มที่ลูกเคยหลงรักมาก่อน
“มิ ตอนนี้คมเปิดบริษัทเป็นประธานหนุ่มไฟแรงเชียวล่ะลูก”
มิลันดาแสร้งงทำเป็นไม่สนใจฟัง หล่อนรู้ดีมารดากำลังทำให้หล่อนหายโกรธเขา แต่หล่อนไม่อยากสนใจเรื่องของเขาอีกแล้ว ไม่ลืมแต่ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะต้องยินยอมให้โดนพูดจาไม่รักษาน้ำใจอีก
“แม่ไม่ต้องเล่าเรื่องของเขาหรอกค่ะ มิไม่สนใจอยากจะฟัง”
“มิ... เลิกโกรธพี่คมได้แล้วนะลูก” ดาวเรืองพยายามไกล่เกลี่ย
“แม่คะ มางานรับปริญญามิทั้งที อย่าพูดเรื่องที่ทำให้ใจหนูห่อเหี่ยวเลยค่ะ มิไม่อยากได้ยินชื่อนี้อีก” ใบหน้าเรียวสวยเริ่มงอ
“มิลดทิฐิลงบ้างนะลูก คมเองก็รู้สึกผิดที่ทำไม่ดีต่อลูกไว้แล้วนะ” ชัยเดชช่วยพูดอีกคน
คนตัวเล็กเริ่มอึดอัด พ่อกับแม่เป็นอะไรไปทำไมเห็นดีเห็นงามไปกับเขาเสียหมด หล่อนถูกกระทำแท้ๆ ดูสิพากันช่วยพูดเข้าข้าง จะสนใจพี่คมเพื่ออะไรในเมื่อเป็นแค่ลูกชายเพื่อนเท่านั้น ป่านนี้เขาคงมีสาวในสังกัดนับไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง
“พ่อคะ แม่คะ ถ้าอยากให้มิกลับเมืองไทย อย่าพูดเรื่องพี่คมอีกเลยค่ะ” หญิงสาวตัดบท
ดาวเรืองและชัยเดชจำต้องเงียบ ถึงแม้ว่าจะพยายามไกล่เกลี่ยเรื่องราวที่เนิ่นนานมาเกือบสิบปีแล้วก็ตาม แต่บุตรสาวของพวกเขากลับไม่เคยลืมเลือนได้เลย
“ก็ได้จ้ะมิ พ่อกับแม่ไม่พูดแล้ว”
มิลันดาเตรียมเก็บกระเป๋า หล่อนตั้งใจจะกลับพร้อมบิดามารดาเลย ส่วนเรื่องงานที่เมืองไทยหล่อนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว หล่อนส่งข้อมูลตนเองให้กับโรงพยาบาลรัฐในเมืองไทย เมื่อกลับไปถึงต้องไปสัมภาษณ์และสอบเข้าแผนกที่ตนเองถนัดอีกที
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มิลันดารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องหล่อนกำลังจะกลับเมืองไทย ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนกันนะ ทั้งเมืองไทย และทั้งเขาอีกคน...
มิลันดาเดินเบียดเสียดคนมากมายที่สนามบิน สายตาหล่อนหยุดมองคนขับรถที่มารับกระเป๋าของหล่อนกับบิดามารดา ยิ่งแปลกใจหนักเมื่อเห็นรถมารอรับหล่อนดูหรูหราผิดหูผิดตาไปจากเมื่อก่อน
“แม่คะ ทำไมเรามีรถแบบนี้ล่ะคะ” หล่อนรู้สึกสงสัย พ่อไม่ได้ทำธุรกิจอะไรใหญ่โต ทำไมมีรถราคาแพงแบบนี้ได้
“พ่อเราได้เป็นถึงรัฐมนตรี ลูกจะให้พ่อนั่งรถกระป๋องหรือไงลูก” ดาวเรืองเย้า
“หนูรู้แล้วล่ะค่ะ แต่ทำไมถึงมีเงินซื้อรถหรูๆ แบบนี้ล่ะคะ”
“ก็พ่อของลูกซื้อหุ้นบริษัทของพ่อคมไงจ๊ะ ตอนนี้บริษัทเขากำลังรุ่งเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเนื้อหอมไปแล้ว”
ชื่อนี้อีกแล้ว พ่อกับแม่พูดถึงเขาไม่ขาดปาก หล่อนเบื่อจะฟังจึงเงียบตลอดเส้นทาง มองผ่านกระจกหน้าต่างดูเหมือนเมืองไทยเปลี่ยนไปมากทีเดียว
รถเลี้ยวเข้ามาในรั้วบ้าน มิลันดาลงจากรถกวาดตามองรอบบ้านด้วยความแปลกใจ ทุกอย่างถูกตกแต่งทำใหม่จนไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยก็ว่าได้ แม้กระทั่งบ้านตรงข้ามที่เคยเป็นของเขาบัดนี้ก็ดูหรูหราโอ่อ่าราวกับคฤหาสน์ในอังกฤษที่หล่อนเคยเห็นพวกเศรษฐีอยู่กัน ดาวเรืองสั่งสาวใช้ให้พามิลันดาไปที่ห้อง หล่อนชะงักถึงขนาดต้องมีสาวใช้กันเลยทีเดียว
ถึงห้องนอน หล่อนจัดการเสื้อผ้าในกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเดินไปรูดม่านตรงหน้าต่าง ยืนมองวิวภายนอกสายลมอ่อนๆ พัดมากระทบผิวหน้า สายตาหล่อนหยุดตรงหน้าต่างห้องของบ้านฝั่งตรงข้าม พลางคิดห้องนี้เป็นของใครกันนะ
ร่างสูงก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากชำระร่างกายในลักษณะผ้าขนหนูพันท่อนล่างแค่ผืนเดียว ก่อนเอื้อมหยิบผ้าอีกผืนเพื่อเช็ดศีรษะที่กำลังเปียกปอน แล้วเดินไปตรงหน้าต่างเปิดมันออกเพื่อรับลม เขารู้ดีว่าห้องบ้านตรงข้ามไม่มีใครอยู่ เพราะตนเองเปิดดูอยู่ทุกวัน เผื่อบางทีอาจจะเห็นเด็กสาวคนที่ตนเฝ้าคิดถึงก็ได้
สาวบ้านตรงข้ามชะงักมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตกใจ ดวงตาเรียวสวยไหววูบ เห็นชายรูปร่างกำยำยืนพิงขอบหน้าต่างเช็ดผมอย่างขมักเขม้นภายใต้ผ้าขนหนูพันรอบเอวสอบเพียงผืดเดียว
เขา... ไม่ได้สนใจว่ามีใครอยู่อีกฝากหนึ่งเลยสักนิด
