งานแต่งงาน

พิธีวิวาห์ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ผมยืนอยู่หน้ากระจกในชุดสูทสีดำที่ตัดเย็บอย่างพอดีตัวทว่ากลับให้ความรู้สึกราวกับเป็นกรงขัง เนื้อผ้าเรียบลื่น ราคาแพง เป็นแบบที่พ่อของผมคงจะเลือกให้ไม่มีผิด แต่มันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน น้ำหนักของแหวนในฝ่ามือรู้สึกหนักอึ้งเกินกว่าที่ควรจะเป็น ราวกับมันแบกรับน้ำหนักของการตัดสินใจทุกอย่างที่ผมไม่เคยมีสิทธิ์เลือก

ซาบรีน่าควรจะอยู่ที่นี่

เธอควรจะเป็นคนที่ยืนอยู่ในห้องนี้ เตรียมตัวเพื่อแต่งงานกับอเลสซานโดร ไม่ใช่ผม แต่เธอกลับถูกฝังอยู่ใต้ผืนดินอันหนาวเหน็บ และผมกำลังถูกบังคับให้มารับหน้าที่แทนเธอ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ผมไม่หันไปมอง ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร

“เราไม่มีเวลาแล้วนะ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและควบคุม เหมือนกับว่าวันนี้เป็นเพียงการทำธุรกรรมทางธุรกิจอีกวันหนึ่งเท่านั้น

ผมจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเอง แทบจำผู้ชายในกระจกไม่ได้ ขากรรไกรของผมขบแน่น หัวไหล่เกร็งแข็ง ดวงตาว่างเปล่า “ถ้าผมปฏิเสธล่ะครับ” เสียงของผมแผ่วเบา แต่กลับแฝงไว้ด้วยน้ำหนัก

เขาไม่ถอนหายใจ ไม่ได้ตำหนิผม เขาเพียงแค่ก้าวเข้ามาในห้องแล้ววางมือหนักๆ ลงบนบ่าของผม “ถ้างั้นแกก็ไม่ใช่ลูกที่ฉันเลี้ยงมา”

ความเยียบเย็นแล่นไปทั่วสันหลัง

ผมอยากจะบอกให้เขาไปลงนรก ผมอยากจะกระชากชุดสูทนี่ทิ้ง เดินออกจากประตูไป แล้วไม่หันกลับมามองอีกเลย แต่ผมรู้ความจริงดี ว่าไม่มีทางที่จะเดินหนีไปได้ ไม่ใช่จากเรื่องนี้

ดังนั้นผมจึงหันกลับไป เก็บแหวนใส่กระเป๋า แล้วเดินออกจากห้อง แม่ของผมถูกบังคับให้แต่งตัวในชุดเดรสเพื่อมาส่งตัวผมเข้าพิธีแต่งงานเช่นกัน ท่านเองก็ไม่ต้องการให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ท่านก็ไม่พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่ตอนที่เห็นผมอยู่ในชุดสูท

อากาศรอบตัวรู้สึกหนาทึบ หนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบ้าน แม่เดินอยู่ข้างกายผม ฝีเท้าของท่านเชื่องช้าราวกับทุกการเคลื่อนไหวถูกถ่วงไว้ด้วยความหนักหนาของสถานการณ์ ใบหน้าของท่านซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้เศร้าโศกมาทั้งคืน แต่ท่านก็ไม่ได้เอ่ยคำใด ท่านแทบไม่พูดอะไรเลยนับตั้งแต่การตายของซาบรีน่า จมดิ่งอยู่ในความทุกข์ของตัวเองเกินกว่าจะปลอบโยนใครได้ ในเย็นวันนี้ ท่านจึงไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิด เป็นเพียงส่วนหนึ่งของขบวนที่จะนำผมไปสู่หายนะของตัวเอง

เราเคลื่อนผ่านส่วนต่างๆ ของบ้านไปราวกับภูตผี โดยมีกำแพงเป็นพยานเงียบงันต่อการทรยศทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่น พ่อของผมเดินนำหน้าไปแล้ว กำลังเตรียมพร้อมสำหรับละครฉากต่อไป ท่าทีแบบนักธุรกิจของเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการสูญเสียลูกสาว เขาเปลี่ยนไปเป็นในสิ่งที่เขาต้องเป็นแล้ว...โหดเหี้ยม เลือดเย็น และมุ่งมั่น และผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามเงาของเขาไป แม้ว่าทุกอณูในร่างกายจะกรีดร้องต่อต้านก็ตาม

ห้องโถงจัดงานแต่งงานนั้นเย็นชาและไร้ชีวิตชีวาอย่างที่คาดไว้ มันถูกเตรียมการอย่างพิถีพิถัน ราวกับว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในข้อตกลงมากมายของเขาที่ต้องลงนาม ทำให้เสร็จสิ้น และทำเครื่องหมายว่าเรียบร้อยแล้ว ดอกไม้ถูกจัดวางอย่างสมบูรณ์แบบ แขกเหรื่อนั่งตามที่คาดไว้ โคมระย้าขนาดใหญ่เหนือศีรษะสาดแสงสว่างจ้าลงมายังทุกสิ่งอย่างไม่ปรานี แต่มันไม่ให้ความรู้สึกเหมือนงานเฉลิมฉลอง ไม่รู้สึกถึงความรัก มันให้ความรู้สึกเหมือนนรกสำหรับผม

ห้องโถงถูกตกแต่งอย่างหรูหรา แขกเหรื่อแต่งกายดีและกระซิบกระซาบกัน แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครสนใจว่าผมเป็นคนที่ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีแทนที่จะเป็นซาบรีน่า ไม่มีใครสนใจแม้กระทั่งว่าเจ้าบ่าวยังมาไม่ถึง

ขณะที่ผมยืนอยู่ตรงแท่นพิธี รอให้อเลสซานโดรปรากฏตัว น้ำหนักของแหวนในกระเป๋าก็กดทับลงมาบนตัวผม ผมรู้สึกถึงมันได้แม้จะยังไม่ได้หยิบออกมา มันคือเครื่องย้ำเตือน เป็นเครื่องเตือนใจอันเย็นชาว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นทางเลือกของผม

ประตูเปิดออก และอเลสซานโดรก็ก้าวเข้ามาในห้อง เขาดูไร้ที่ติในชุดสูทของเขา แต่สีหน้ากลับเย็นชาเช่นเคย ดวงตาสีเข้มของเขามองตรงไปข้างหน้า เขาคือทุกอย่างที่ผมจำได้...เฉียบคม สุขุม และแตะต้องไม่ได้ เขาไม่ได้คัดค้านเมื่อข้อตกลงเปลี่ยนไป เขาไม่ได้ขอเวลาเพื่อเสียใจ เขาแค่ตกลง

เพราะเช่นเดียวกับพ่อของผม อเลสซานโดรสนใจเพียงแค่ข้อตกลงเท่านั้น

โลกรอบตัวราวกับบิดเบี้ยวไปเมื่อสายตาของเราประสานกัน เกิดเป็นความเข้าใจอันเย็นชาระหว่างเรา เราทั้งคู่ต่างรู้ดีว่านี่คืออะไร ไม่มีใครในพวกเรามีสิทธิ์ออกเสียง ครอบครัวของเขา ครอบครัวของผม...ไม่มีอะไรสำคัญ สิ่งเดียวที่สำคัญคือสัญญา การอยู่รอดของตระกูลเรา และอำนาจที่มันครอบครองอยู่

ชีพจรของผมเต้นเร็วขึ้นเมื่อบาทหลวงเริ่มพิธี เสียงของท่านเป็นเพียงเสียงพึมพำที่ห่างไกลอยู่เบื้องหลัง ถ้อยคำที่ไม่มีความหมาย คำสาบานที่ว่างเปล่า ผมอยากจะกรีดร้อง อยากจะทำลายทุกสิ่งให้พังพินาศ แต่ผมกลับนิ่งเงียบ ปล่อยให้ความจริงอันเยียบเย็นกัดกินลึกลงไปในกระดูก

แล้วถ้อยคำนั้นก็มาถึง คำที่ผมหวาดกลัวมาตลอด

“คุณ นิโคไล สเมอร์นอฟ จะรับ อเลสซานโดร เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่”

ชั่วขณะหนึ่ง ผมหายใจไม่ออก หัวใจของผมเต้นระรัว ทุกจังหวะย้ำเตือนถึงชีวิตที่ผมสูญเสียไป อนาคตที่ผมจะไม่มีวันได้มี แต่ผมปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่ในตอนที่สายตาของพ่อจับจ้องมาจากด้านหลังของห้องอย่างเย็นชาและไม่ให้อภัย

ผมบังคับตัวเองให้พูด “รับครับ”

และด้วยคำพูดนั้น น้ำหนักของการดำรงอยู่ทั้งมวลของผมก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

“เชิญแลกแหวนได้”

“แหวน”

ผมลังเล

เพียงชั่ววินาทีสั้นๆ ผมคิดที่จะขว้างของบ้าๆ นี่ลงบนพื้นแล้วเดินออกไป แต่ผมก็ไม่ได้ทำ ผมกลับบังคับให้นิ้วมือขยับ สวมโลหะเย็นเยียบลงบนมือของอเลสซานโดร

เมื่อถึงตาของเขา สัมผัสของเขากลับหนักแน่น การเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำขณะที่เขาสวมแหวนลงบนนิ้วของผม ดวงตาของเขาวูบมาสบตากับผมเพียงเสี้ยววินาที ที่นั่นไม่มีอะไรเลย ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ไม่มีความอบอุ่น

จากนั้นก็เป็นถ้อยคำสุดท้าย

“เชิญจุมพิตได้”

ลมหายใจของผมติดขัดในลำคอ

เป็นครั้งแรกที่หน้ากากของอเลสซานโดรปริแตกออกเพียงเล็กน้อย สายตาของเขาสบกับผม เข้มลึกและอ่านไม่ออก และชั่วขณะหนึ่ง ผมคิดว่าเขาอาจจะปฏิเสธ ว่าในที่สุดเขาอาจจะพูดว่าไม่

แต่เขาก็ไม่ได้ทำ

เขาก้าวเข้ามาข้างหน้า มือข้างหนึ่งเอื้อมมาที่ใบหน้าของผม และก่อนที่ผมจะทันได้คิด ก่อนที่ผมจะทันได้หยุดมัน ริมฝีปากของเขาก็ทาบลงบนริมฝีปากของผม

จูบนั้นสั้นนัก เย็นชา เป็นเพียงพิธีการ

และเพียงแค่นั้น ทุกอย่างก็จบลง

ผมแต่งงานแล้ว

กับผู้ชายที่ผมแทบไม่รู้จัก

กับผู้ชายที่จะไม่มีวันรักผม

และขณะที่แขกเหรื่อปรบมือ ขณะที่พ่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ขณะที่อเลสซานโดรก้าวถอยหลังกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม ความคิดหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในใจของผม:

ผมไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเท่านี้มาก่อนในชีวิต

บทก่อนหน้า
บทถัดไป