3
ฉันซื้อตั๋วหนังผีเรื่องเดียวที่เข้าฉาย โรงหนังตั้งอยู่ในเขตเป็นกลางของเมือง ดังนั้นการต่อสู้หรือการเผชิญหน้ากันระหว่างแก๊งจึงเป็นสิ่งต้องห้าม ฉันทำเป็นไม่สนใจกลุ่มคนเล็กๆ ที่ต่อแถวรอชมภาพยนตร์อีกเรื่อง พวกเขากำลังหัวเราะเสียงดังและสวมแจ็กเก็ตสีดำที่มีสัญลักษณ์ดอกลิลลี่สีแดงอยู่บนหลัง
พวกนั้นเป็นสมาชิกแก๊งลิลลี่ ผู้คุมเมืองอยู่ครึ่งหนึ่ง พัวพันกับการค้าอาวุธและยาเสพติดผิดกฎหมาย ที่แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขามีตำรวจอยู่ในกำมือ ที่จริงนั่นยังไม่ใช่ส่วนที่แย่ที่สุด แต่มันก็ทำให้ฉันหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว
สุดท้ายฉันก็เลยซื้อป๊อปคอร์นถังใหญ่ ช็อกโกแลต และโซดาสองแก้ว กลิ่นของโรงหนังเป็นเอกลักษณ์ และมันรู้สึกดีมากที่ได้รู้ว่าฉันยังคงรักมันอยู่
ฉันเดินเข้าไปในโรงหนังที่เย็นเฉียบ พลางกวาดสายตามองหาแถวที่นั่งสบายที่สุดสำหรับชมภาพยนตร์ ฉันเลือกที่นั่งตรงกลางริมทางเดิน หลีกเลี่ยงผู้คนสองสามคนและคู่รักหลายคู่ ฉันนั่งลงด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะยัดป๊อปคอร์นเข้าปาก แต่แล้วก็ต้องงุนงงเมื่อเห็นผู้ชายคนเดียวกับที่ร้านอาหารนั่งอยู่ข้างๆ ฉันพอดี
ดวงตาสีน้ำตาลของเขาประสานกับตาฉัน คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย และข้อศอกของเขาวางอยู่บนที่พักแขน เราเป็นเพียงสองคนที่นั่งอยู่ในแถวนี้ และก่อนที่ฉันจะทันได้ลุกขึ้น ไฟก็หรี่ลงและตัวอย่างภาพยนตร์ก็เริ่มฉาย
ฉันจิบโซดา บังคับตัวเองให้เงียบ และหางตาก็สังเกตเห็นว่าผู้ชายคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
"เอาไปสิ ถ้าอยากได้" ฉันเสนอพร้อมกับยื่นเครื่องดื่มแก้วที่เกินมาให้
เขาลังเล แต่ในที่สุดก็รับไป ฉันหันความสนใจกลับไปที่หน้าจอ แต่ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของเขาที่จ้องเขม็งมาราวกับจะแผดเผา เขาไม่ได้พยายามจะทำอย่างแนบเนียนเลยด้วยซ้ำ
เมื่อภาพยนตร์ดำเนินไป ฉันเริ่มผ่อนคลายเอนหลังพิงเบาะและโซ้ยป๊อปคอร์นไม่หยุด แน่นอนว่าที่โรงเรียนดัดสันดานก็มีทีวี แต่รายการที่มีให้เลือกอย่างจำกัดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับโรงภาพยนตร์เย็นๆ ที่มีป๊อปคอร์นอยู่ในมือ
ประมาณครึ่งเรื่อง ฉันยื่นถังป๊อปคอร์นให้ผู้ชายที่ยังไม่รู้ชื่อ เขาหยิบไปส่วนหนึ่ง และเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกันตอนฉากตุ้งแช่ ใครก็ตามที่มองมาคงคิดว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกัน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดแต่ก็น่าพึงพอใจอย่างน่าประหลาดในเวลาเดียวกัน
ฉันออกจากโรงหนังตอนที่เครดิตเริ่มขึ้น ฉันไม่ได้บอกลาผู้ชายคนนั้น แค่ทิ้งขยะแล้วเดินตามฝูงชนออกไปสู่ค่ำคืนที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยดวงดาว อุณหภูมิลดลงจนลมหายใจของฉันกลายเป็นไอสีขาวในอากาศ ฉันดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะและซุกมือไว้ในกระเป๋าขณะมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ
"เฮ้"
มีคนเรียก ทำให้ฉันหยุดและหันกลับไป เป็นผู้ชายตาคมหน้าหล่อคนนั้นเอง
"ชอบดื่มเบียร์ไหม" เขาถามพลางหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนขึ้นและได้กลิ่นโคโลญจน์จางๆ แนววู้ดดี้ผสมมินต์ของเขา
"คุณมีเบียร์เหรอ" ฉันถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขายิ้ม เปลี่ยนใบหน้าที่เคยตึงเครียดให้กลายเป็นบางสิ่งที่น่าดึงดูดใจและดูอ่อนเยาว์อย่างไม่น่าเชื่อ
"ไม่ แต่ผมซื้อให้ได้" เขาพูดพลางสบตาฉัน
ฉันย้ายน้ำหนักตัวสลับไปมาระหว่างเท้าทั้งสองข้าง มองดูฝูงชนที่กำลังทยอยออกจากโรงหนัง
"ก็ได้ แต่เราจะไปรถฉัน" ฉันตกลงเมื่อเห็นเขายักไหล่ "แล้วนายต้องเป็นคนจ่ายนะ" ฉันเสริม ทำให้เขายิ้มอีกครั้ง
"ก็แฟร์ดี ผมเป็นคนชวนเองนี่" เขาตอบ
แม้ว่าฉันจะชอบความคิดที่จะได้ดื่มเบียร์หลังจากไม่ได้ดื่มมานาน แต่ฉันก็ยังคงยืนนิ่ง จ้องมองเขา พลางประเมินโครงหน้าที่คมคายและริมฝีปากที่น่าเชื้อเชิญของเขา ฉันรอให้เขาบอกชื่อ แต่ทั้งหมดที่เขาทำคือสบตาฉันนิ่ง
"โอเค" ฉันพึมพำแล้วนำเขาไปที่รถของเคนจิในลานจอดรถ
"นี่รถคุณเหรอ" เขาถามพลางจ้องมองรถลัมโบร์กินีสีขาวด้วยความประหลาดใจ
"ของเพื่อน เขายืมฉันมา" ฉันตอบพลางเปิดประตูและมองดูสายตาของเขาที่กวาดมองไปทั่วรถด้วยความสนใจ "อยากขับไหม" ฉันถาม
"จริงเหรอ"
"ฉันไม่ว่าอะไร" ฉันโยนกุญแจไปทางเขา ตระหนักดีว่าเคนจิคงสติแตกแน่ถ้าเขารู้ว่าฉันปล่อยให้คนที่เขาไม่รู้จักแตะต้องของรักของหวงชิ้นใหม่ของเขา
"ผมไม่เคยขับลัมโบร์กินีมาก่อนเลย" เขาพูดขณะก้าวขึ้นรถ มันยากที่จะละสายตาจากเขาในตอนนี้ที่เรากำลังคุยกัน และความโกรธที่เขาขโมยเบอร์เกอร์ของฉันก็จางหายไปแล้ว "ขับเร็วได้ไหม" เขาถามพลางมองฉันด้วยแววตาท้าทาย
"ถ้าไม่ขับเร็ว ก็น่าเบื่อแย่สิ" ฉันตอบขณะเดินอ้อมไปหน้ารถแล้วนั่งลงข้างๆ เขา "ไปซื้อเบียร์กันเถอะ"
เราอยู่ในลานจอดรถร้างหลังร้านสะดวกซื้อที่เขาซื้อเบียร์มา ฉันพิงฝากระโปรงหน้ารถ จ้องมองเครื่องดื่มเย็นๆ ในมือ ขณะที่ผู้ชายข้างๆ ฉันดื่มไปแล้วครึ่งกระป๋อง
โทรศัพท์ในกระเป๋าของฉันก็เริ่มสั่นเป็นครั้งที่สิบของคืนนี้ แต่ฉันก็ยังคงเมินมัน โดยรู้ว่าฉันยังมีเวลาก่อนที่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อและความรับผิดชอบทั้งหมดที่รออยู่
"ฉันยังไม่รู้ชื่อคุณเลย" ฉันพูดพลางหันไปหาผู้ชายคนนั้น ผมสีน้ำตาลของเขาปลิวไสวตามสายลม และเขาใช้มือเสยผมกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
"เรียกผมว่าแมตก็ได้" เขาตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"ริว" ฉันบอก ถึงแม้จะไม่มีใครเรียกฉันแบบนั้นก็เถอะ ถ้าเขารู้ชื่อจริงของฉัน เขาคงเดินหนีไปทันที
"คุณเพิ่งย้ายมาที่นี่สินะ" เขาชี้ประเด็นพลางพิจารณาใบหน้าของฉัน
ฉันจิบเบียร์คำแรก รสชาติของมันทั้งแรงและน่าขยะแขยงจนฉันต้องพ่นมันออกมา
"อะไรวะเนี่ย! คุณไม่เคยดื่มมาก่อนรึไง" เขาบ่นอย่างงุนงง
ฉันใช้หลังมือเช็ดปาก พลางจ้องมองเบียร์อย่างเอาเรื่อง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่รสชาติมันห่วยแตกขนาดนี้ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันเคยชินกับการชอบของห่วยๆ แบบนี้
"ฉันไม่ได้แตะแอลกอฮอล์มาหลายเดือนแล้ว" ฉันยอมรับ เสียงสั่นเล็กน้อย
"ทำไมล่ะ"
คำถามทื่อๆ ของเขาดึงสายตาฉันไปจับจ้อง
"ฉันอยู่ในสถานพินิจมาหกเดือน" ฉันตอบโดยไม่คิดจะโกหกอีก ฉันจิบเบียร์อีกอึก รู้สึกถึงความแสบร้อนตอนที่มันไหลลงคอ ผิวของฉันรู้สึกชาวาบด้วยความขยะแขยง
“จริงดิ” เขาคาดคั้น ยังคงจ้องมองฉันอยู่
ฉันยิ้มให้เขาบางๆ เตรียมใจว่าจะถูกตัดสิน แต่เขากลับจ้องมองฉันด้วยความสนใจยิ่งกว่าเดิม
“เพิ่งออกมาวันนี้”
“มิน่าล่ะ เธอถึงได้กินเบอร์เกอร์เหมือนคนอดอยากมาแรมปี” เขาแกล้งว่าพลางเอียงคอ
สายตาฉันถูกดึงดูดไปยังรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเขา
“เธอหิวโซจริงๆ นั่นแหละ” เขาพูดต่อพลางหัวเราะเบาๆ
ฉันกลอกตา พยายามไม่ยิ้มตามเขาไปด้วย
“บ้าเอ๊ย” ฉันพึมพำแล้วจิบอีกอึก หลบสายตาเขาไม่ให้ประสานกันนานเกินไป
“เธอไปอยู่ในสถานพินิจมาทำไม”
ฉันนิ่งเงียบ จ้องมองทะเลดาวเหนือศีรษะเรา แมตหัวเราะเบาๆ เมื่อรู้ว่าฉันคงไม่ให้คำตอบนั้นกับเขา
“นี่เธอมาที่เมืองนี้ครั้งแรกเหรอ” เขาถามพลางขยับตัวข้างๆ แล้วหยิบเบียร์อีกกระป๋อง
“เปล่า ครอบครัวฉันอยู่ที่นี่” ฉันตอบโดยไม่ลังเล “แต่นายเป็นคนใหม่ของที่นี่” ฉันตั้งข้อสังเกตแล้วดื่มเบียร์จนหมดก่อนจะโยนมันข้ามลานจอดรถเล็กๆ ไปกระทบกำแพงอิฐจนแตกกระจาย
“ฉันเคยอยู่ทางใต้ลงไปอีก” เขาอธิบายพลางสำรวจฉัน “ฉันมาถึงที่นี่ก็ตอนที่เธอจากไปพอดี” เขาเสริม บังคับให้ฉันต้องมองหน้าเขา
ฉันกะพริบตา รู้สึกเหมือนถูกกักขังอยู่ในนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเขา ลมเย็นระลอกหนึ่งพัดผ่าน พาเอากลิ่นหอมยั่วยวนของเขามาด้วย ความหนาวเยือกแล่นปราดไปทั่วสันหลัง ทิ้งให้ฉันรู้สึกวิงเวียนและรับรู้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกจากร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน
ฉันไม่รู้ว่าเราจ้องตากันนานแค่ไหน แต่ความปรารถนาที่จะได้สัมผัสตัวเขาถาโถมเข้าใส่ฉันอย่างรุนแรง จนหัวใจเต้นระรัวอย่างเจ็บปวด
“นายมีแฟนรึยัง” ในที่สุดฉันก็ถามขึ้น ทำลายความเงียบ
“ยัง” แมตตอบ กลั้นหัวเราะ
ฉันส่ายหน้า รู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นตุบๆ อยู่ในขมับ แมตสำรวจฉันขณะที่ฉันก้าวออกจากรถ ไปยืนอยู่ระหว่างขาของเขา แล้วแตะที่ลำคอ เขาไม่ตอบสนอง เพียงแค่เอียงคอแล้วลดสายตาลงมองริมฝีปากฉัน
“ถ้านายไม่ต้องการ... ก็แค่ผลักฉันออกไป” ฉันพึมพำ รู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ปะปนกับของฉัน
ฉันรอปฏิกิริยาอยู่นานหลายวินาที แต่แมตก็ไม่ได้ผลักฉันออก เมื่อถือว่าเป็นคำเชิญ ฉันจึงจูบเขาเบาๆ ริมฝีปากของเขาอุ่น และเขาก็มีกลิ่นตัวหอมมากจนทำให้ฉันมีอารมณ์มากขึ้นไปอีก—หรือบางทีฉันอาจจะแค่ห่างหายไปนานเกินไป และแค่สัมผัสจากผู้ชายหล่อๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจฉันเต้นระรัวได้แล้ว
ฉันสะท้านเมื่อมือหยาบกร้านของเขาสอดเข้ามาใต้เสื้อ สัมผัสผิวร้อนผ่าวและไวต่อความรู้สึกที่เอว ก่อนจะเลื่อนไปที่แผ่นหลัง ฉันประคองใบหน้าของเขา ชื่นชมสันกรามแข็งแรงได้รูป ด้วยนิ้วหัวแม่มือ ฉันเชยคางเขาขึ้นแล้วไล้เลียริมฝีปากเขา แมตทำตามที่ฉันนำ จูบให้ลึกซึ้งขึ้นโดยไม่ลังเล
แม้จะมีรสขมของเบียร์ แต่การจูบเขาก็ช่างน่าเหลือเชื่อ แมตรู้ดีว่าต้องทำอะไรและดูเหมือนจะไม่ว่าอะไรกับการเคลื่อนไหวที่สิ้นหวังและกระตือรือร้นของฉัน หัวใจฉันเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งทีเมื่อเขาดึงฉันเข้าไปใกล้ขึ้น ให้ฉันได้รู้สึกถึงส่วนที่แข็งขืนของเขากดลงมาที่ต้นขา ฉันยิ้มผ่านริมฝีปากของเขา โล่งใจที่ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ตื่นเต้นกับเรื่องง่ายๆ อย่างการจูบและสัมผัสเพียงไม่กี่ครั้ง
ฉันขบเม้มริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ มือก็กำท้ายทอยเขาไว้ แต่เมื่อมือที่เย็นเล็กน้อยของเขาสัมผัสผ่านลำคอ ฉันก็หลอมละลายไปกับเขา จมดิ่งอยู่ในจูบและสัมผัสจากร่างกายของเขา ฉันถูกครอบงำด้วยความปรารถนาจนสะดุ้งเมื่อเขาผลักฉันออกไปอย่างกะทันหัน ฉุดฉันกลับสู่ค่ำคืนอันหนาวเหน็บที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์
“อะไรวะ...” ฉันเริ่มพูด แต่คำพูดก็หายไปเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าหวาดกลัวและร่างกายที่เกร็งแน่นของเขา
“เธอเป็นพวกนั้นเหรอ” เขาถามเสียงแหบพร่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจ ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นหมวกไหมพรมของฉันอยู่ในมือเขา
ฉันยังคงมึนงง เอามือแตะผม สัมผัสได้ถึงปอยผมที่ไม่เป็นทรงใต้ปลายนิ้วที่สั่นเทา ใครกันในเมืองเฮงซวยนี่ที่จะไม่รู้จักแก๊งเฮบิและสมาชิกที่มีผมสีบลอนด์แพลทินัม แจ็กเก็ตหนังสีขาว และดวงตาคมกริบเหมือนของฉัน
“เปล่า” ฉันโกหกได้อย่างง่ายดาย ก้าวเข้าไปหาเขาหนึ่งก้าว
แมตถอยหลังไปหนึ่งก้าว ไม่ละสายตาไปจากผมของฉัน และความกลัวในแววตาของเขาก็ทำให้ฉันเริ่มประหม่า
“ฉันไม่ใช่พวกนั้น ฉันแค่อยากทำอะไรบ้าๆ หลังจากติดอยู่ในสถานพินิจมาตั้งนาน” ฉันพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ ย้ำเตือนเขาว่าฉันมาจากไหน “บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่เนอะ” ฉันพูดติดตลก บังคับให้เขาสบตาฉัน
หัวใจฉันเต้นรัวขณะรอปฏิกิริยาของเขา ฉันไม่อยากให้เขาไป—ฉันยังอยากจูบเขาอีก อยากรู้ว่าผิวของเขารสชาติเป็นอย่างไร และถ้าเขายอม ฉันก็อยากจะนอนกับเขาจนกว่าเราจะขยับตัวไม่ไหว
ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มองเขาถอนหายใจยาว
“นี่มัน...” เขาเริ่มพูดแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ “นี่มันเละเทะชะมัด” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา มองกลับมาที่ฉัน
ฉันยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“อืม ฉันรู้” ฉันเห็นด้วย มองรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
แมตพิงรถอีกครั้ง ยังคงกำหมวกไหมพรมของฉันไว้ในหมัดแน่น เท่าที่ฉันอยากจะทำ แต่ฉันก็ไม่ได้เข้าไปใกล้เขา ฉันยืนอยู่ที่อีกฝั่งของฝากระโปรงรถ มือไม้คันยุบยิบอยากจะสัมผัสเขา ความเงียบอันน่าอึดอัดโรยตัวลงมาระหว่างเรา และฉันก็เลียริมฝีปาก แอบชำเลืองมองเขา พลางสงสัยว่าเขายังคงรับรสของฉันบนริมฝีปากของเขาได้อยู่หรือไม่
“เธอจะไปเรียนโรงเรียนรัฐบาลที่อยู่อีกฝั่งของเมืองรึเปล่า” แมตถาม
“เปล่า อีลิทเรดฟ็อกซ์” ฉันตอบ รู้ดีว่าฉันควรจะกลับไปลงทะเบียนเรียนได้แล้ว
อีลิทเรดฟ็อกซ์เป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงที่สุดในรัฐ เต็มไปด้วยนักเรียนฉลาดที่มีอนาคตไกล และยังเป็นที่อยู่ของพวกลิลลี่ที่เข้ามาได้ด้วยเงินบริจาคก้อนโตทุกเดือน โรงเรียนตั้งอยู่ในเขตเป็นกลาง ที่ซึ่งการต่อสู้และความขัดแย้งระหว่างแก๊งเป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด
“จริงเหรอ”
“มันน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอที่ฉันจะฉลาด”
แมตหัวเราะ ทำลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเราจนหมดสิ้น
“อ่ะนี่” เขาพูดพลางยื่นมือมาทางฉัน
ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหมวก แต่แมตไม่ยอมปล่อย
“ไปที่ห้องฉันไหม” เขากระซิบ ขโมยหัวใจฉันไปทุกจังหวะการเต้น
“ไปสิ”











































