บทที่ 2 ความตายมาเยือน2/2
พวกนางพยายามก้าวเท้าถี่ไปยังทางหลังเรือนที่รถม้าของนางจอดอยู่ เมื่อบุรุษสองคนที่ยืนรอเจ้านายอยู่ที่รถม้าเห็นสีหน้าและท่าทางตื่นตระหนกของสตรีทั้งสองก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแน่ ๆ
สารถีเข้าประจำที่ ส่วนบุรุษอีกคนก็รีบเข้าไปพยุงคุณหนูของเขาขึ้นรถม้า เพียงเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยนั่งบนรถม้าอย่างมั่นคงแล้ว สารถีก็ไม่รอช้ารีบบังคับม้าออกจากเรือนไปในทันที
เสียงของรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปทำให้คนในเรือนต่างได้ยิน เพราะเรือนหลังนี้อยู่ไกลจากบ้านเรือนของผู้อื่น อีกทั้งเวลานี้เป็นยามวิกาลที่เงียบสงบ เมื่อมีเสียงอันใดก็ไม่แปลกนักที่จะได้ยินชัดเจน
องครักษ์บางส่วนรีบตามรถม้าของเผยตั้นเยี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเติ้งจื่ออวี๋รีบไปรายงานผู้เป็นนายทันที
‘เพล้ง’ เพียงได้ยินรายงานจากองครักษ์คนสนิทเว่ยหลิงเฮ่อก็เขวี้ยงถ้วยชาที่อยู่ในมือลงพื้นทันที
“พวกเจ้าทำงานประสาอะไร สตรีเพียงคนเดียวยังปล่อยให้หลุดมือไปได้ เดี๋ยวก่อน..” เพียงแค่พริบตาเดียวเว่ยหลิงเฮ่อก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยต่อ
“ในเมื่อนางอยากหนีเช่นนั้นก็ให้หนีไป ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปจัดฉาก เจ้าให้องครักษ์ปลอมตัวเป็นโจรแล้วปล้นตราพยัคฆ์มาให้ข้า แล้วจัดการนางตามแผนเดิม”
เมื่อเติ้งจื่ออวี๋ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายเขานั้นก็ไม่รอช้า เขาหมุนตัวออกไปจัดการตามรับสั่งทันที ส่วนเว่ยหลิงเฮ่อลุกขึ้นไปยืนที่ริมหน้าต่างมองถนนเส้นเดิมที่ยาวไปสุดความมืด ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เผยตั้นเยี่ยนถึงหนีไป แต่เขาก็ไม่ใคร่อยากรู้จนต้องเก็บชีวิตของนางเอาไว้เพื่อหาคำตอบ เพราะจุดประสงค์เดียวที่เขายอมพูดจาราวกับมีใจให้นางมาตลอดนั้น เป็นเพราะตราพยัคฆ์ที่อยู่กับเว่ยเหวินเซียนเท่านั้น
รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว บวกกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมาทางจึงทั้งแคบทั้งขรุขระ ทำให้รถม้าโคลงเคลงไปมาจึงไม่แปลกที่คนนั่งข้างในรถม้านั้นจะวิงเวียนศีรษะ
แต่ในยามที่ความตายกำลังมาเยือน ต่อให้เวียนหัวจนต้องอ้วกออกมาเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดที่จะให้สารถีลดความเร็วเป็นแน่ เผยตั้นเยี่ยนทั้งเวียนหัวทั้งปวดหัว เพราะนางพยายามจะหาทางออกแต่ทว่าคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกเสียที
ฉุยฉุยสาวใช้คนสนิทที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของคุณหนูก็นึกสงสาร เพราะอีกก้าวเดียวเท่านั้นสิ่งที่คุณหนูของนางปรารถนาก็จะสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายไม่เพียงไม่เป็นไปดังหวังแม้แต่ชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้
‘เฟี้ยว!ฉึก!ฉึก!ฉึก!’
ยังไม่ทันที่เผยตั้นเยี่ยนจะคิดหาหนทางออก เสียงอาวุธแหวกอากาศก็ดังขึ้น ลูกธนูเสียดแทงเข้ามาภายในรถม้า แต่ทว่าโชคดีที่มิได้โดนใคร แต่เพียงไม่นานรถม้าก็เสียหลักเมื่อมีธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่ขาของม้า
จิ่งหลินสารถีที่บังคับม้า รู้ดีว่าหากเขามัวแต่เสียเวลาไปกับการปราบพยศม้าในยามนี้พวกที่ตามมาคงมาถึงตัวในไม่ช้า และยามนี้ม้าก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว หากจะวิ่งต่อก็คงไปได้ไม่ไกลนัก
“เสวี่ยเฟิงเจ้ากับฉุยฉุยพาคุณหนูไปแอบในป่าไผ่ก่อน เดี๋ยวข้าจะหลอกล่อพวกมันไปเอง” จิ่งหลินบอกกับบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ถึงม้าตัวนี้จะตื่นกลัวเพราะบาดเจ็บจนไม่ฟังคำสั่งของเขาแล้ว แต่ด้วยกำลังของม้าก็ยังสามารถวิ่งได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยเขาก็ยังพอซื้อเวลาให้คุณหนูของเขาหนีได้
เสวี่ยเฟิงเมื่อได้ยินก็มิคิดออกความคิดเห็นใด ๆ เพราะเขาเชื่อว่าบุรุษที่นั่งอยู่ข้างเขานั้นต้องคิดดีแล้วว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดในยามนี้ เสวี่ยเฟิงจึงเข้าไปในรถม้า เพื่อจะนำคุณหนูสกุลเผยออกมา แต่ทว่าเมื่อเขาเปิดผ้าที่กั้นอยู่นั้น เขาก็เห็นคุณหนูสกุลเผยสลบไปเสียแล้ว
“ฉุยฉุย! คุณหนูเป็นอะไร” น้ำเสียงของเสวี่ยเฟิงวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
“เมื่อครู่ตอนรถม้าเสียหลักหัวของคุณหนูกระแทกอย่างแรง แต่ข้าจับชีพจรแล้วคุณหนูแค่สลบไปเท่านั้น” ฉุยฉุยหันมาตอบ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการ”
เสวี่ยเฟิงพูดจบก็เข้าไปอุ้มเผยตั้นเยี่ยนออกมา จิ่งหลินดับไฟในโคมรถม้าทันที ยามนี้มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องแสง แต่ทว่าก็มิอาจส่องสว่างได้มากมายนัก จึงทำให้เห็นเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น เช่นนั้นแล้วมิต้องถามถึงคนที่ขี่ม้าตามหลังมาเลยว่าจะเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ข้างหน้าหรือไม่
“ฝากคุณหนูด้วย” จิ่งหลินเอ่ย
เสวี่ยเฟิงที่อุ้มเผยตั้นเยี่ยนอยู่หันมาพยักหน้าให้จิ่งหลินก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบากระโดดออกจากรถม้า โดยมีฉุยฉุยกระโดดตามมาทีหลัง
เมื่อออกมาจากรถม้าแล้วพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ รอจนคนของเว่ยหลิงเฮ่อที่ตามมานั้นผ่านไปแล้วฉุยฉุยจึงหยิบแผงเข็มออกมาจากอกเสื้อ ก่อนที่จะใช้เข็มปักไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อทำให้คุณหนูของนางฟื้น
เผยตั้นเยี่ยนเหมือนจะรู้สึกตัวแต่ทว่ากลับไม่ยอมลืมตาตื่น ฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงทั้งเขย่าทั้งเรียกชื่อ แต่เผยตั้นเยี่ยนก็ยังไม่ยอมลืมตา จนฉุยฉุยนั้นไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดี จึงตบหน้าเผยตั้นเยี่ยนไปหนึ่งทีอย่างเต็มแรง
‘เพียะ’
“โอ๊ย!! เจ็บ” สตรีที่ถูกตบร้องครางออกมาเสียงดัง
“คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูฟื้นแล้ว” ฉุยฉุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ
เมื่อสตรีที่สลบฟื้นขึ้นมาก็ลูบแก้มที่ขึ้นรอยมือแดงไปมาด้วยความรู้สึกเจ็บ ก่อนจะจับไปตามแขนและลำตัวของตนเอง แล้วก็สำรวจเสื้อผ้าที่ตนเองใส่อยู่ และมองไปรอบ ๆ
‘นี่เราใส่เสื้อผ้าอะไรอยู่ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน มืด ๆ แบบนี้นรกอย่างงั้นเหรอ’
