บทที่ 10 บทที่ 10 บรรยากาศแปลกไป
"ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ"
จางเสวี่ยฮุ่ยลุกขึ้นทำความเคารพเย่จิ้นหยางอย่างนอบน้อมและเขินอาย ฟางเมี่ยวที่หาทางปลีกกายออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนทำความเคารพเขาเช่นเดียวกัน
ให้ตายสิ!! กระโดดถีบแทนได้หรือไม่
เย่จิ้นหยางละสายตาจากจางเสวี่ยฮุ่ย ก่อนจะจ้องมองมาที่ฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ฟางเมี่ยวมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย ทำให้เย่จิ้นหยางขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเอ่ยถาม
"แม่นาง ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ชอบใจข้าเท่าใดนัก"
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมาจ้องมองเย่จิ้นหยางคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา แต่ทว่ารอยยิ้มของนางดูเย็นชาไม่น้อย
"ท่านอ๋องทรงคิดมากไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่เคยพบเจอท่านอ๋องมาก่อน จะไม่ชอบใจพระองค์เรื่องใดกัน"
"นั่นสินะ ข้าคงคิดมากไป ว่าแต่เจ้าคงจะเป็นสหายของเสวี่ยเอ๋อร์สินะ"
เย่จิ้นหยางเอ่ยถามนาง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มหวานให้จางเสวี่ยฮุ่ย ฟางเมี่ยวไม่ตอบเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
คนบัดซบเช่นนี้ นางไม่อาจทำใจรักษากฎระเบียบใดกับเขาได้ แม้ยามนี้นางจะบอกตนเองเสมอว่าไม่ให้แค้นเคืองเขาในเรื่องเก่าก่อน แต่นางกลับรู้สึกว่าตนขัดหูขัดตาเขาไม่น้อย นี่แปลว่านางยังแค้นเขาใช่หรือไม่ ให้ตายสิ!!!
การได้เจอเขาเช่นนี้ทำให้นางอยากจะระเบิดโทสะเหลือเกิน!!!
"อาจิ้น"
"อาเยี่ยน เจ้ามาแล้วหรือ"
ฟางเมี่ยวหันไปมองหลี่เยี่ยนเฉินที่เดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้จางเสวี่ยฮุ่ย แล้วหันไปเอ่ยกับเย่จิ้นหยาง
"ข้าก็คิดว่าเจ้าไปอยู่ที่ใด ที่แท้มาพบคุณหนูจางนี่เอง"
"ข้าจะไปที่ใดได้เล่า"
หลี่เยี่ยนเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ยามนี้อยู่กันตามลำพังไม่ได้มีขุนนางรายล้อม ย่อมสนทนากันเฉกเช่นสามัญชนทั่วไปอย่างสนิทสนม
เย่จิ้นหยางหันมามองจางเสวี่ยฮุ่ยอีกครา ก่อนจะเอ่ย
"เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องอยากจะสนทนากับเจ้า แม่นาง ข้าขอยืมตัวสหายเจ้าสักครู่...เอ่อ เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ?"
"นางชื่อฟางเมี่ยวเพคะท่านอ๋อง"
จางเสวี่ยฮุ่ยเอ่ยตอบขึ้นมาแทนฟางเมี่ยว ฟางเมี่ยวไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย
รีบๆ ไสหัวไปเถิด!!
"ฟางเมี่ยว บุตรสาวท่านเสนาบดีกรมกลาโหมน่ะหรือ บิดาเจ้าทำงานได้เที่ยงตรงยิ่งนัก"
"ขอบพระทัยเพคะ"
"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เสวี่ยเอ๋อร์ เราไปกันเถิด"
"เพคะท่านอ๋อง"
จางเสวี่ยฮุ่ยหันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยวอย่างรู้สึกผิดที่ทิ้งสหายไปดื้อๆ แต่ฟางเมี่ยวเพียงพยักหน้าให้นางเล็กน้อยเท่านั้น
ยามนี้จึงเหลือเพียงหลี่เยี่ยนเฉินและฟางเมี่ยวเพียงสองคนเท่านั้น หลี่เยี่ยนเฉินมีท่าทางประหม่าไม่น้อย ฟางเมี่ยวเองก็วางมือเท้าไม่ถูกเช่นเดียวกัน
เป็นหลี่เยี่ยนเฉินที่ตัดสินใจหันหลังจะเดินจากไปเสียก่อน แต่ทว่ากลับต้องหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินฟางเมี่ยวร้องเรียกเอาไว้
"พี่เยี่ยน ช้าก่อนเจ้าค่ะ"
หลี่เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองฟางเมี่ยวในทันที
เมื่อครู่นางเรียกเขาว่าอะไรนะ!!!
พี่เยี่ยนอย่างนั้นหรือ!!!
หูเขาพิการแล้วใช่หรือไม่?
"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ?"
"พี่เยี่ยน พี่เยี่ยนของข้า"
ของข้าด้วย!!!
หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกจนวางท่าทีไม่ถูกแล้ว ฟางเมี่ยวเองก็รู้สึกว่าเขาแปลกไปเช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงที่ใด
คล้ายว่ายามนี้เขาต้องสารภาพรักกับนางไม่ใช่หรือ
"เอ่อ"
"มีสิ่งใดหรือคุณหนูฟาง หากไม่มีข้าขอตัวก่อน"
คุณหนูฟาง!!! นี่มันเรื่องใดกัน ฟ้าดินกลับหัวหรือ? เหตุใดเขาจึงวางท่าทีห่างเหินกับนางเช่นนี้เล่า
ท่าทีเก้ๆ กังๆ ของคนทั้งสองทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไม่น้อย ฟางเมี่ยวทนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"หลี่เยี่ยนเฉิน!!! เจ้าจะกลับเมืองหลวงแต่ไม่คิดที่จะส่งจดหมายแจ้งข้าสักฉบับยังไม่พอ เมื่อได้พบกันแล้วเจ้ายังไม่มีเรื่องที่จะเอ่ยกับข้าอีกหรือ? แล้วท่าทางเย็นชานั่นด้วย หมายความว่าอย่างไรกัน"
หลี่เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้างงงวยอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
หรือว่านางรอเขาบอกเรื่องนั้น เรื่องที่เขาบอกชอบนาง
หรือนางรู้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!!
หลี่เยี่ยนเฉินพิจารณามองฟางเมี่ยวอย่างละเอียดอีกครา ก็ไม่พบว่านางผิดแปลกที่ตรงใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับนางอย่างขอไปที
"คุณหนูฟาง ข้าไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับเจ้า"
เขาไม่มีทางบอกชอบนางอีกเด็ดขาด!!!
"เดี๋ยวสิ!! ไม่มีจริงๆ หรือ เจ้าลองนึกดีๆ"
"ไม่มี อีกอย่าง สถานที่ตรงนี้ค่อนข้างห่างไกลผู้คน เจ้าเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน ส่วนข้าเป็นบุรุษที่ยังไม่แต่งภรรยา เราสองยามนี้เติบโตแล้วมิควรชิดใกล้กัน"
ฟางเมี่ยวยกมือขึ้นเกาศีรษะตน ใบหน้าสวยหวานมีท่าทีงงงันเป็นอย่างมาก
เป็นไปได้อย่างไรกัน!! นางไม่เข้าใจ หรือว่าระหว่างที่ออกรบเขาฆ่าคนตายไปมากจนสมองมีปัญหา?
หลี่เยี่ยนเฉินไม่สนใจฟางเมี่ยวอีก เขาจึงเดินหันหลังจากไป ฟางเมี่ยวไม่รอช้านางรีบเดินตามเขาไปทันที แต่เพราะรีบเกินไปนางจึงสะดุดล้มจนหน้าคะมำกับพื้น หลี่เยี่ยนเฉินหันมาเห็นภาพตรงหน้า เขาตกใจไม่น้อย ก่อนความตกใจนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความขบขันในทันที
ให้ตายเถิด!!! เขาอยากตะโกนหัวเราะใส่หน้านางจริงๆ เขาลงไปนอนหัวเราะได้หรือไม่?
ฟางเมี่ยวเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด โชคดีที่ตรงนี้เป็นเพียงพื้นหญ้า ใบหน้านางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดมากนัก นางเงยหน้าไปมองหลี่เยี่ยนเฉินคราหนึ่ง นอกจากเขาจะไม่ช่วยนางแล้ว ท่าทีที่คล้ายกลั้นหัวเราะนั่นมันคือสิ่งใดกัน!!
ฟางเมี่ยวไม่ถือสาหลี่เยี่ยนเฉิน นางรีบหยัดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะปัดเศษใบไม้และเศษดินบนเสื้อผ้าของนางออก แล้วจึงเดินตรงไปหาหลี่เยี่ยนเฉิน
ไม่ได้การ!!! นางจะเอานิสัยเดิมมาใช้ไม่ได้ นางต้องอ่อนโยนกับเขาสิ
"พี่เยี่ยน ข้าขอถามท่านอีกครา ท่านไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับข้าจริงๆ หรือ?"
หลี่เยี่ยนเฉินถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยตอบ
"ฟางเมี่ยว เจ้าต้องการให้ข้าเอ่ยสิ่งใดหรือ?"
"เอ่อ..."
ฟางเมี่ยวมีท่าทีอึกอัก จะให้นางเอ่ยเช่นไรเล่า นางเอ่ยได้หรือ หากนางเอ่ยถามไปหลี่เยี่ยนเฉินจะสงสัยในตัวนางหรือไม่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงทำหน้ามุ่ย ก่อนจะเอ่ย
"ช่างมันเถิด"
"เช่นนั้นข้าขอตัว"
"เดี๋ยวสิ"
"มีอันใดอีก"
"ข้าเจ็บข้อเท้ายิ่งนัก เดินไม่ไหวเลย"
หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางยืนได้ แต่ยังมีหน้ามาบอกว่าข้อเท้าบาดเจ็บ นิสัยชอบยั่วยวนบุรุษของนางมันคงฝังลึกเข้าไปในกระดูกของนางแล้วเป็นแน่ จึงแก้ไม่หาย!!!
ไปหลอกเด็กสามขวบเถิด!!!
"แต่เจ้ายืนได้นี่"
"ยืนได้ แต่เดินไม่ไหวนี่เจ้าคะ"
"เช่นนั้นก็คลานไปเถิด"
"พี่เยี่ยน เดี๋ยวสิ!!! หลี่เยี่ยนเฉิน!!!"
หลี่เยี่ยนเฉินหันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งให้ฟางเมี่ยวยืนอยู่เพียงลำพัง นางรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่ในใจหนึ่งนางก็แอบสงสัยในท่าทีของหลี่เยี่ยนเฉินที่มีต่อนาง ท่าทีที่ไม่สนิทสนมและห่างเหินนั่นมันคือสิ่งใดกัน
หรือว่าเขามีคนรักระหว่างอยู่ที่ชายแดนอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้
นางจะต้องหาสาเหตุที่เขามีท่าทีเช่นนี้กับนางให้จงได้
