บทที่ 10 โลกของนางบำเรอ (2)

ฝูมองหน้าผู้เป็นนาย หลายวันที่ผ่านมาหญิงวัยกลางคนเห็นความปกติของซูกุ้ยฟาง และตอนนี้ทุกอย่างแจ่มชัด คุณหนูดูเหมือนถูกปีศาจสิงร่าง ซึ่งคำพูดของแม่ทัพหยางเมื่อพบหน้าหญิงสาวดูเหมือนจะเป็นความจริง

“ที่เราลำบากลำบนเช่นนี้ เพราะเจ้าบ้านเอี้ยวางแผนไว้ตั้งแต่แรก ทั้งทำให้บิดาท่านถูกโยนความผิดเรื่องการค้าขายสินค้าไม่ได้คุณภาพแก่กองทัพ และยังแพ้พนันจนต้องสูญเสียทรัพย์สินมหาศาล และไม่พอ เขายังต้องการเอาตัวคุณชายใหญ่ไปเป็นชายบำเรอด้วย เมื่อรู้ว่าส่งคุณหนูมาแทนก็คิดขายทิ้งในตลาด ดังนั้นหากท่านไม่พยายามมัดใจแม่ทัพหยางให้ได้ บ่าวเกรงว่านับจากนี้ชีวิตคุณหนูจะลำบาก อย่างไรเราก็ต้องมีเกราะป้องกันภัย ด้วยดูท่าแล้วองค์ชายเกาน่าจะเอาใจออกหากคุณหนู ไม่อย่างนั้นคงยื่นมือมาช่วยเหลือแล้ว”

เรื่องราวในโลกโบราณนี้ประดังประเดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เพื่อความอยู่รอด ซูกุ้ยฟางต้องเรียนรู้ให้เร็ว ซึ่งต้องขอบใจบ่าวคนนี้ที่คอยอยู่เคียงข้าง ฝูช่วยเหลือทุกอย่าง อาจมีสิ่งเกินเลยไปบ้าง แต่นางรู้ว่าที่ฝูทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวคุณหนูโฉมงาม

“ข้าไม่ได้ลืม เพียงแต่...ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ตอนนี้บางสิ่งจึงเลอะเลือนไปบ้าง”

“บ่าวเข้าใจดี ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นอีก คุณหนูจำต้องรีบลงมือเสีย อย่างไรก็นอนร่วมเตียงกับแม่ทัพหยางแล้ว องค์ชายเกาคงมิอาจยกคุณหนูเป็นภรรยาเอก เช่นนี้ทางรอดเดียวของเราก็คือ คุณหนูต้องตกเป็นของแม่ทัพหยางให้เร็วที่สุด”

“เจ้าพูดจาน่าเกลียดเช่นนี้ได้อย่างไร”

“บ่าวเอ่ยตามจริง เรื่องนี่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นบนเตียงหรือที่ใด เมื่อผู้ชายต้องการความอภิรมย์ คุณหนู...ย่อมต้องโอนอ่อนผ่อนตาม”

หญิงสาวได้ยินแล้วก็นึกแค้นใจ นางพลัดหลงเข้ามาในโลกนี้เพื่อเป็นของเล่นสำหรับผู้ชายหรอกหรือ ถึงชายผู้นี้จะเป็นถึงแม่ทัพหยาง รูปงาม เก่งกาจ ทว่าความรักมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สตรีอย่างซูกุ้ยฟางพ่ายแพ้ต่อคนหล่อเหลาก็จริง แต่นางก็เลือก ไม่ได้พิศวาสอยากคว้าหยางอี้คังมาเป็นพ่อของลูกสักนิด ถึงเรื่องราวจะเขียนไว้อย่างนั้นก็เถอะ!

ซูกุ้ยฟางนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วหันไปมองใบหน้าตนในกระจกทองเหลือง

“ข้างามเยี่ยงนี้ ย่อมทำให้ท่านแม่ทัพหลงเสน่ห์ได้ไม่อยาก”

“แค่หลงใหลไม่พอเจ้าค่ะ คุณหนูต้องทำให้ท่านแม่ทัพหยางคลั่งรักอย่างที่สุด สิ่งสำคัญคือเป็นแม่ให้แก่ลูกชายของเขาให้จงได้”

“ละ แล้วข้าจะทำได้หรือ”

“สตรีสกุลซูไม่ได้มีเพียงความงามนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรคำทำนายที่หมอดูตาบอดกล่าวไว้ก็แม่นยำ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังบ่ายหน้าเข้าใกล้ความจริง ขึ้นอยู่กับว่าคุณหนูจะกล้าลงมือทำให้สำเร็จหรือไม่”

ซูกุ้ยฟางฟังคำของฝูแล้วใจก็ไพล่คิดถึงถุงกระดาษที่ใส่บ๊ะจ่าง พลางทบทวนเรื่องราวที่นางอ่านผ่านตา


ห้องหนังสือชั้นสองของจวนแม่ทัพ

หยางอี้คังนั่งอยู่ในนั้น สีหน้าเคร่งขรึมอยู่สักหน่อย หลายคืนแล้วที่ไม่ได้ออกไปโรงสุราหรือเที่ยวหาความสำราญยังสำนักโคมเขียว ทั้งหมดเป็นเพราะจิตใจกระวนกระวายอยู่กับสาวงามของที่ชื่อซูกุ้ยฟาง!!

มันเป็นเวรกรรมโดยแท้ เขาไม่น่ายื่นมือเข้าไปช่วยสตรีผู้นี้ นางอาจนำภัยใหญ่หลวงมาให้ กระนั้นเมื่อมองโฉมสะคราญ ใจก็อยู่เหนือเหตุผลทั้งหมด

แต่แรกเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนาง กระนั้นภาพสาวงามถูกเร่ขายในตลาดทำให้สงสารและเห็นใจ ทว่าหลังจากที่รับนางมาไว้ที่เรือน ซูกุ้ยฟางก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ทั้งหมดนี้เขาล่วงรู้ว่านางกำลังเล่นละครตบตา หวังให้เขาข่มเหง ซึ่งจะเพื่อการใดหากไม่ใช่นางอยากตกเป็นของเขา จากนั้นคงใช้เรื่องนี้ยกฐานะตนกลับคืน เปลี่ยนหนังสือซื้อขายตัวเป็นหนังสือตบแต่งฮูหยินเข้าสกุลหยาง ความฉลาดของนางนั้นนับว่าไม่เบาทีเดียว

“ซูกุ้ยฟาง ข้าหายินดีหากต้องถูกเจ้าหยามหมิ่นความเป็นชาย!”

เมื่อเขากล่าวจบประตูด้านหน้าจึงถูกเคาะ อึดใจต่อมาเขาได้ยินเสียงหวานหยดที่พยายามปั้นแต่งของซูกุ้ยฟาง

“ได้เวลาน้ำชาและของว่างแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ!”

“ข้าอยากอยู่แบบสงบๆ ไม่ได้รึอย่างไร” หนุ่มหล่อแสร้งปั้นเสียงขรึมเพื่อปรามทั้งนางและสติตนที่ว่อกแว่กเหลือเกิน

“มิได้เจ้าค่ะ ผู้น้อยมีหน้าที่ดูแลความสุขแก่ท่าน ลืมแล้วหรือไรว่ากุ้ยฟางถูกซื้อมา และชีวิตนับจากนี้เป็นของท่านแม่ทัพหยางแต่เพียงผู้เดียว”

“ฮ่าๆๆ คำพูดเจ้าช่างน่าเอ็นดู”

สิ้นคำประชดประชันบานประตูก็ถูกเปิดเข้ามา และภาพที่ดวงตาคมกริบดุจพญานกอินทรีได้พบคือสตรีที่ใส่เสื้อผ้าบางเบา เป็นเสื้อที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันรัดอยู่เหนือเนินหน้าอกอวบอิ่มสะดุดตา และนางเผยไหล่ขาวนวลเนียน มีเพียงผ้าคลุมไว้อย่างหมิ่นเหม่ อีกทั้งกิริยาเยื้องย่างน่าดูชม คล้ายนางแมวน้อยยั่วยวนกิเลส มิหนำซ้ำยังทำตาโตและแสร้งหลบสายตาเขายามถูกจ้องมองเป็นระยะๆ

หยางอี้คังกระแอมกระไอสองสามหน เขาต้องการดึงสติตนที่เตลิดไปไกลกลับคืน ไม่ให้คิดหื่นกระหายต่อหญิงสาวที่แต่งตัวเปิดเผยเนื้อหนังตรงหน้า

บทก่อนหน้า
บทถัดไป