บทที่ 3 สร้างความอับอาย

“ยามนี้ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ข้ามิอาจนิยมเป็นฮูหยินที่ต้องทนอยู่อย่างเดียวดาย หากสามีออกศึกในแดนไกล และถึงแม้ท่านต้องการมีฮูหยินเพียงคนเดียว แต่ภายภาคหน้าใครจะล่วงรู้ ในเมื่อตำแหน่งแม่ทัพอันทรงเกียรติจำเป็นต้องมีหลังบ้านคอยสนับสนุนเพื่อให้รากฐานมั่นคง และกฎ ‘สามภรรยาสี่อนุ’ ยังเป็นเรื่องที่ผู้ชายตระกูลหยางพึงปฏิบัติเรื่อยมา และไหนจะยังเมียบ่าวอีก เพียงแค่ได้ยินข้าก็หวั่นใจ”

ม่านลั่วลั่วมองชายหนุ่มรูปงาม นางรู้ดี เขามีชื่อเสียงเป็นที่โจษขานว่าดาบใหญ่และมักทำขาเตียงหัก แม้สองสามปีให้หลังเขาจะเลิกข้องเกี่ยวกับสตรีนางใด แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนกล่าวถึงเล่นๆ หากมันคือความจริงที่หญิงสาวทั่วหล้าเกือบร้อยชีวิตประจักษ์มาแล้ว

“แต่ข้ามิได้พึงใจต่อสตรีใด ถึงเชยชมอยู่บ้าง กระนั้นก็ไม่อาจตบแต่งเข้าสกุลหยาง ซึ่งมันต่างจากเจ้า ลั่วลั่ว”

“ยามนี้ท่านก็พูดได้ ผู้ชายมักปากหวานยามเกี้ยวสตรี เมื่อได้อุ่นเตียงแล้วย่อมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!”

“ลั่วลั่ว เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร” หยางอี้คังตัดพ้อ น้ำเสียงเขายังคงนิ่ง หากสีหน้าดูเศร้าลง เกือบสองปีแล้วที่เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีอื่น คือหลังเกิดเหตุร้ายมีหญิงสาวเสียชีวิตหลังเสร็จสมกับเขา และนั่นทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองใหม่ รวมถึงอยากสานสัมพันธ์กับม่านลั่วลั่วเสียที

หญิงสาวยิ้มจางๆ และตอบตามความรู้สึกจากใจ

“แม่ทัพหยาง ท่านกับข้ายังมีเวลาตัดสินใจอีกนาน อย่าเพิ่งเร่งรัดเลย อีกอย่างศึกทางเหนือ ท่านยังต้องไปช่วยองค์ชายเกาสะสางอยู่มิใช่หรือ เช่นนั้นอย่าเสียเวลาเอาเรื่องของข้ามาคิดให้หนักหัวจะดีกว่า สตรีผู้นี้หากพึงใจสิ่งใด ย่อมไม่ต้องพูดจาให้เสียเวลา” ม่านลั่วลั่วบอกใบ้ชายหนุ่ม และหวังให้เขาเข้าใจว่านางเอาใจออกหากจากเขาเนิ่นนาน ไม่ใช่เพราะสิ้นรัก แต่สำหรับนาง ยุทธภพกว้างใหญ่ยังมีหลายสถานที่ซึ่งอยากออกไปผจญภัย

หยางอี้คังถอนหายใจเสียงดัง ภาระดังกล่าวเขาไม่อาจเลี่ยง

“มันคือหน้าที่ชายชาติทหาร”

“ท่านพูดถูก สำหรับข้าก็เช่นกัน ถึงเป็นสตรีแต่ไม่ถนัดเย็บปักถักร้อย แม้แต่เรื่องอาหารยังไร้ฝีมือ เช่นนี้ยากจะเป็นหลังบ้านให้ท่าน รู้แล้วก็ลองตรองดูเถิดท่านพี่”

ม่านลั่วลั่วไม่ใช่หญิงสาวอ่อนหวาน นางเรียนรู้วรยุทธ์จากบิดา และท่านปู่ยังเป็นถึงเจ้าสำนักกระบี่มือหนึ่งในยุทธภพ

“ถึงกระนั้น คำสัญญาของเราข้ายังยึดมั่น”

“ท่านแม่ทัพ จิตใจข้านับถือท่านมิน้อย กระนั้นเราต่างรู้ดีว่าสายน้ำมิไหลย้อนกลับ หลายสิ่งไม่อาจย้อนคืน เมื่อครั้งยังเด็กข้านิยมชมชอบท่าน มิต่างจากเด็กหญิงตัวน้อยที่โหยหาพี่ชายซึ่งเป็นตัวแทนของความกล้าหาญ และยังหล่อเหลาหาผู้ใดเทียบติด แต่เมื่อเติบใหญ่ข้ากลับชอบท่องเที่ยวไปทั่วหล้า สตรีเช่นนี้สมควรเป็นหยางฮูหยินของท่านหรือ”

หยางอี้คังนิ่วหน้า กระนั้นเขายังคิดว่าม่านลั่วลั่วเหมาะสมกับตน ดังนั้นจึงได้ทำสัญญากับนางไว้ว่า ในเทศกาลไว้บ๊ะจ่างของปีหน้า เขากับนางนัดพบกันที่เนินเขานิรนามเพื่อตกลงกันเรื่องคำมั่นในการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทว่าเมื่อถึงวันจริง เขาไม่ทันได้พบหน้าหญิงคนรัก หยางอี้คังต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเขาทราบภายหลังว่าเป็นการยุ่งเรื่องที่ไม่สมควรโดยแท้ เพราะนางคือ ซูกุ้ยฟาง สตรีที่ครั้งหนึ่งสร้างบาดแผลไว้บนร่างกายและจิตใจเขา!

“ข้าไม่ควรข้องเกี่ยวกับนางตั้งแต่แรก สตรีโฉมงามแต่อับจนปัญญาเช่นนั้น และยังมักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว ทั้งที่พื้นเพเป็นเพียงลูกพ่อค้าที่สร้างตัวขึ้นจากการขูดรีดผู้อื่น”

หยางอี้คังนึกแค้นใจ เขากับซูกุ้ยฟางมีเรื่องบาดหมางกันเมื่อสิบปีก่อน เรื่องซึ่งเขายังไม่อาจให้อภัยคนในตระกูลซูได้ ด้วยมันสร้างความอับอายให้เขา

“แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับคุณหนูซูนะขอรับ ชีวิตนางน่าสงสาร และใจก็ไม่ต้องการตกเป็นของเล่นแก่ผู้อื่น เท่าที่ทราบ เจ้าบ้านซูยกนางให้กับคุณชายเอี้ยเติ้งฉวนแห่งเรือนตะวันแดงที่อยู่ทางทิศตะวันออกติดแม่น้ำแดงเพื่อเป็นการชดใช้หนี้พนันที่เจ้าบ้านซูติดค้างไว้มากโข แต่ฝ่ายนั้นหาได้นิยมสตรี เขาต้องการซูมู่เหยา ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณหนูกุ้ยฟาง แต่มู่เหยาเป็นคนขี้ขลาดและเจ้าสำราญ แถมไหวพริบเป็นเลิศ จึงไหวตัวทัน รีบไปขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงเก้าซึ่งเป็นคนรัก สุดท้ายคนที่ถูกส่งตัวมาให้แก่คุณชายเอี้ยจึงเป็นคุณหนูกุ้ยฟางผู้โชคร้าย และเท่าที่บ่าวทราบ เรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นให้คุณชายเอี้ยอย่างหนัก จึงตั้งใจขายคุณหนูซูกุ้ยฟางในตลาดในราคาที่ถูกแสนถูกเทียบเท่ากับบ๊ะจ่างหนึ่งลูก เพื่อหวังให้ตระกูลซูขายหน้า และมันก็สำเร็จเป็นอย่างดี”

อาเปี่ยวมีหูตากว้างไกล อดีตเป็นถึงทหารองครักษ์เสื้อแพร อีกทั้งมีความเก่งรอบรู้เรื่องต่างๆ ผิดแต่พักหลังสุขภาพกายไม่สู้ดี จึงถูกส่งตัวให้มารับใช้หยางอี้คัง ด้วยเขาเป็นลูกของอนุน้องชายบิดาชายหนุ่ม

บทก่อนหน้า
บทถัดไป