บทที่ 9 โลกของนางบำเรอ
แสนเสน่ห์กวาดตาอ่านไปอีกหนึ่งถึงสองบรรทัด หล่อนจึงคว้าบ๊ะจ่างมากัดอีกคำ และไม่ทันได้มองว่ามีถั่วลิสงกับแปะก๊วยอัดแน่นอยู่ข้างใน ความที่อร่อยและติดใจรสชาติ หล่อนกินด้วยความเร็ว ในตอนนั้นจู่ๆ หูได้ยินเสียงจุ๊บจั๊บดังอยู่ไม่ห่าง แสนเสน่ห์นิ่งงันชั่วขณะ หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ทั้งที่ในมือถือบ๊ะจ่างค้างไว้
ซึ่งเสียงดังกล่าวดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นเสียงหวานบอกคำรักกันอย่างไม่อายผีอายสาง
“เราควรมีฮันนีมูนที่ประเทศไทยดีไหมคะ ลีน่าอยากเที่ยวทะเล และชอบอาหารไทยมากๆ” เสียงหญิงสาวออดอ้อนหนัก ท่าทางคงหลงชายหนุ่มจนหัวปักหัวปำ
“ได้สิครับ แต่เราต้องไปเกาะปิดนะ เกาะที่มีแค่เราสองคน แบบไม่ต้องใส่เสื้อผ้าสักชิ้น” มาตินเอ่ยอย่างหนุ่มเจ้าชู้
“ไม่เอาค่ะ แบบนั้นคงไม่ได้ทำอะไรกันพอดี อีกอย่างลีน่ายังไม่พร้อมมีลูก คุณก็รู้นี่คะ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องรีบมีสิครับ ผมรู้น้าว่าต้องทำยังไง” เสียงชายหนุ่มคุยอย่างติดตลก ก่อนตามด้วยเสียงครางหวานของหญิงสาวซึ่งคาดว่าเธอคงถูกจูบ หรือไม่คงโดนมาตินเย้าหยอกอย่างหนัก ด้วยจังหวะการหายใจที่ฟังดูเหมือนคนใกล้ขาดใจตาย แล้วยังตบท้ายด้วยการหวีดเสียงสูงอย่างสุขสม
“อูย อ๊าย อ๊า เบบี๋...ไม่เอานะคะ ตรงนี้ไม่เหมาะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ไม่หรอกครับ เด็กๆ ไม่มากวนใจเราอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“ใช่...ผมอยากกินลีน่าที่ห้องรับแขกมาก จำตอนที่เราสนุกกันบนโซฟาได้ไหม เปิดหน้าต่างให้เห็นข้างนอก แล้วคุณค่อยก็ขึ้นขย่มไง”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแสนเสน่ห์ก็หูผึ่ง มาตินหมายถึงโซฟาที่หล่อนกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ใช่หรือไม่
อึดใจต่อมา ภาพจึงตัดให้เห็นร่างสูงของมาติน เขาอุ้มนาตาลีแนบอก ฝ่ายหญิงนั้นทำท่าฉอเลาะอย่างน่าหมั่นไส้
แสนเสน่ห์ชอกช้ำใจอย่างหนัก บ๊ะจ่างที่ถือค้างอยู่ในมือเลยถูกส่งเข้าปาก และหล่อนสะอื้นฮักๆ น้ำตาตกใน แต่ดูเหมือนอาการหล่อนจะหนักยิ่งกว่านั้น เพราะสำลักอาหารอย่างแรง ซึ่งมันน่าประหลาดใจ เพียงแค่เมล็ดถั่วลิสงกับแปะก๊วยติดคอ แต่แสนเสน่ห์กลับโชคร้าย ด้วยมันเป็นเหตุให้วิญญาณสาวหลุดออกจากร่างในเวลาต่อมา!!
ซูกุ้ยฟางดึงตนกลับคืนสู่โลกโบราณที่นางรู้เรื่องราวไม่ถึงแปดบรรทัด เป็นแปดบรรทัดที่ชีวิตของสตรีนางหนึ่งต้องสยิวเสียวซ่านกับบุรุษขาเตียงหักหยางอี้คัง!
ความสับสนประดังประเดเข้ามาในหัว นางก็รับมือไปตามสภาพ แน่นอนใครต่อใครต่างมองหญิงสาวแปลกๆ บ้างกล่าวหาว่าซูกุ้ยฟางเป็นหญิงงามวิปลาสล่มเมือง
หญิงสาวถอนหายใจพรูใหญ่อย่างเบื่อหน่าย กระทั่งฝูปรากฏตัวทางด้านหลัง
“โอ้ คุณหนู”
“อื้อ เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดร้องโวยวายเสียที” ซูกุ้ยฟางตำหนิอีกฝ่าย ฝู คือผู้ติดตามและเป็นแม่นมหญิงสาวมาตั้งแต่มารดาเสียชีวิต ซึ่งจะว่าไปหน้าตาก็คุ้นตั้งแต่ซูกุ้ยฟางพบครั้งแรก
“บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวจะโขกศีรษะกับพื้นเดี๋ยวนี้”
“หยุดเลย” มุกนี้ใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ซูกุ้ยฟางโผล่มาอยู่ในร่างนี้
ฝูมองคุณหนูของตน ทั้งคู่เดินทางมาจากเมืองหลวงด้วยกัน กระทั่งถูกส่งตัวไปขายในตลาด และแม่ทัพหยางยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
“เมื่อคืน ทุกอย่างสำเร็จหรือไม่คุณหนู”
หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ รู้สึกรังเกียจตนเองที่ต้องพยายามทำตัวเยี่ยงนางคณิกา ซึ่งฝูบอกให้ซูกุ้ยฟางเดินหมากเช่นนี้ ด้วยหยางอี้คังมีสตรีที่อยู่ในใจ ฝ่ายนั้นเป็นลูกสาวเจ้าสำนักคุ้มภัยจากเมืองหลวงมีชื่อว่าม่านลั่วลั่ว
“คุณหนูต้องทำให้ท่านแม่ทัพหลงใหลในตัว มิเช่นนั้นหากปล่อยเวลาเนิ่นนาน คงเป็นท่านที่ต้องลำบาก ตระกูลม่านขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิต และอย่าคิดว่าหลังบ้านจะมีนางเสืออยู่ร่วมกันได้สองตัว คุณหนูอาจถูกนางทำร้าย หากไม่วางยาพิษ ก็ทำให้เสื่อมเสียเกียรติด้วยการส่งคนบุกเข้ามาข่มเหงน้ำใจ!”
ซูกุ้ยฟางกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นทีเดียว
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร ในเมื่อแม่ทัพหยางไม่ได้พึงใจต่อข้า”
นางรับใช้ตบอกตนเองผาง เกิดเหตุเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่นางสืบรู้มาจากคนในเรือน หยางอี้คังคือชายที่ชอบอุ่นเตียง จับกดสตรีไปทั่วหล้า และขาเตียงยังหักเป็นว่าเล่น แต่เกือบสามคืนแล้วที่คุณหนูของตนนอนร่วมเตียงกับท่านแม่ทัพ ทว่าแม้แต่เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดนางยังไม่ได้ยิน!
“นับว่าเป็นเรื่องชวนให้วิตก คุณหนูทั้งเลอโฉม รูปร่างจัดว่าหาผู้ใดเทียบได้ยาก เหมาะเป็นมารดาของบุตรถึงเพียงนี้ แต่แม่ทัพหยางหาได้พึงใจ”
เมื่อกล่าวถึงความงาม ซูกุ้ยฟางก็ส่องกระจกทองเหลืองพิศดูตัวเอง หญิงสาวผู้นี้นับว่าเป็นที่ต้องตาต้องใจผู้คน ถึงขั้นยอมสยบแทบเท้า แต่นางฉงนที่แท่งหยกของแม่ทัพหยางกลับไม่แข็งขันเมื่ออยู่ต่อหน้านาง หรือเขาไม่พิศวาสเรือนร่างนี้ เรื่องนี้นางก็สุดคาดเดา
“ข้าคิดว่าต้องมีเหตุผิดพลาด ทั้งที่พยายามทำตามเจ้าบอก แต่ยิ่งกระทำท่านแม่ทัพกลับยิ่งถอยห่าง เมื่อคืนเขายังออกไปนอกห้อง ไม่กลับเรือนจนถึงรุ่งเช้า”
ฝูทำตาโต ก่อนรีบกล่าวเสริม
“บ่าวมิอาจปล่อยให้เรื่องเหลวไหลเช่นนี้เกิดขึ้นได้ เราต้องวางยาปลุกมังกรของท่านแม่ทัพให้ชูชัน และคุณหนูต้องพลีกายเพื่อให้แผนนี้เสร็จลุล่วง อย่าลืมว่าอย่างไรก็ตาม คุณหนูต้องยืมมือเขาทวงศักดิ์ศรีของตนคืน”
“เหตุใดข้าต้องลงแรงถึงเพียงนั้น” ซูกุ้ยฟางเอ่ยแล้วก็นึกท้อแท้ในชะตาชีวิตตน
