บทที่ 11
ชาร์ลส์พยักหน้าช้าๆ ปัดมือของเจอรัลด์ออก แล้วกดลูกบิดประตูลง
กลิ่นคาวเลือดรุนแรงโชยปะทะใบหน้า ทำให้พวกเด็กสาวที่อยู่ด้านหลังกรีดร้องแผ่วๆ แล้วเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง
แอ่งเลือดขนาดใหญ่กำลังหยดติ๋งๆ ไม่ขาดสายจากขอบเตียง และบนเตียงนั้นก็คือร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวผมบลอนด์คนหนึ่ง
เธอคือราเชล
ราเชลที่เมื่อวานยังโต้เถียงกับทุกคนอยู่เลย ตอนนี้กลับนอนแช่อยู่ในแอ่งเลือดสีแดงคล้ำอย่างเงียบงัน
ชาร์ลส์เปิดไฟ เขายกมือขึ้นปิดปากและจมูก แล้วเดินเข้าไปในห้องทีละก้าว
ในที่สุดเขาก็ได้เห็นสภาพอันน่าสยดสยองทั้งหมด
ใบหน้าของราเชลยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่ตรงกลางหน้าผากกลับมีรูเล็กๆ ขนาดเท่ากระสุนปืนอยู่รูหนึ่ง
ทว่าลำตัวของเธอกลับถูกแหวกออก ผิวหนังและเนื้อถูกแบะจนกลับด้าน เผยให้เห็นซี่โครงสีขาวโพลน และอวัยวะภายในช่องท้องทั้งหมดก็หายไปเกลี้ยง
นอกจากนี้ยังมีเศษผิวหนังที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นส่วนไหนกระจัดกระจายอยู่บนเตียง
ชาร์ลส์กลั้นหายใจแล้วก้มลงมองรูเล็กๆ บนศีรษะของราเชล มันไม่ใช่บาดแผลจากกระสุนปืน
มันดูเหมือนถูกเจาะด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่มีลักษณะเป็นท่อมากกว่า
แต่ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรน่าตกตะลึงเท่ากับสีหน้าของเธอเลย
สีหน้าของราเชลดูสงบนิ่งราวกับผ่อนคลาย แถมมุมปากยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ
ราวกับว่าก่อนตายเธอไม่ได้เผชิญกับความเจ็บปวดใดๆ แต่กลับฝันหวานถึงเรื่องที่สวยงามอยู่
“เชี่ยเอ๊ย!”
เจฟฟรีย์สบถออกมาเสียงดัง แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขาสั่นเครือ
ชาร์ลส์สะดุ้งตกใจก่อนจะขมวดคิ้วถาม “นายเข้ามาทำไม?”
“เธอ… เธอ…”
เจฟฟรีย์พูดตะกุกตะกักพลางมองภาพตรงหน้า ท้องไส้ของเขาเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง
เขารีบวิ่งออกไป เปิดหน้าต่างตรงโถงบันไดเพื่อพยายามระบายกลิ่นคาวเลือดออกไป
แต่ชาร์ลส์กลับพุ่งเข้าไปกระแทกหน้าต่างปิดดังปัง
“นับจากนี้ไป ห้ามใครเปิดหน้าต่างเด็ดขาด!”
ทุกคนตกใจกับระดับเสียงของชาร์ลส์ เพราะภาพลักษณ์ของเขาที่ผ่านมาคือคนที่ใจเย็นและเงียบขรึมมาตลอด การระเบิดอารมณ์อย่างกะทันหันของเขาจึงดูแปลกประหลาดในสายตาทุกคน
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีเพียงเจฟฟรีย์ที่ทำลายความเงียบอันน่าขนลุกนั้นลง “ก็ได้ ไม่เปิดก็ไม่เปิด พวกเราจะฟังนาย”
จากนั้นชาร์ลส์ก็เดินลงไปชั้นล่าง ทุกคนจึงเดินตามเขาไป ทิ้งชั้นสองอันเป็นลางร้ายไว้เบื้องหลัง
พอลงมาถึงชั้นล่าง ชาร์ลส์ก็เดินตรวจดูหน้าต่างทุกบานเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีลมรั่วเข้ามาได้ เขาถึงได้หยุดแล้วหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลงเงียบๆ
เจอรัลด์มีคำถามเต็มหัวตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นบนแล้ว ในที่สุดเมื่อชาร์ลส์นั่งลง เขาก็เดินเข้าไปขมวดคิ้วถาม “นี่มันหมายความว่ายังไง? ทำไมเราถึงเปิดหน้าต่างไม่ได้?”
ชาร์ลส์ไอเบาๆ เขารู้ตัวว่าตัวเองอาจจะแสดงออกชัดเจนเกินไป
แต่เมื่อได้เห็นศพที่น่าสยดสยองของราเชล เขาก็ต้องยอมรับว่าเขากลัว
“กลิ่นเลือดมันแรงเกินไป มันจะดึงดูดพวกสัตว์ร้ายเข้ามา”
“สัตว์ร้ายอะไร?” เจอรัลด์ซักต่อ
ชาร์ลส์เงยหน้าขึ้นสบตาสีเทาอมฟ้าของเจอรัลด์แล้วพูดว่า “ข้างนอกนั่นเต็มไปด้วยอันตราย”
สีหน้าของเจอรัลด์แข็งค้างไป ก่อนที่เขาจะเริ่มตื่นตระหนก
“นายพูดเรื่องอะไร? อันตรายอะไร?”
ชาร์ลส์ลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปนอกหน้าต่าง
“ตอนพวกนายมาที่นี่ ไม่ได้สังเกตเห็นหนูจำนวนมากเหรอ? ทำไมชุมชนร้างที่ไม่มีคนอยู่ถึงมีหนูเยอะขนาดนี้ได้?”
เห็นได้ชัดว่าเจอรัลด์ถูกคำถามนี้เล่นงานจนไปไม่เป็น เขาตอบตะกุกตะกัก “กะ-ก็หนูมันอยู่ได้โดยไม่มีคนนี่”
“แต่ไม่ใช่จำนวนมหาศาลขนาดนี้แน่ นอกจากว่าจะมีแหล่งอาหารสำคัญ เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีบ้านอยู่แค่หลังเดียว นายคิดว่ามีอะไรอย่างอื่นอีกที่สามารถเป็นแหล่งเศษอาหารมากมายให้พวกมันได้?”
ชาร์ลส์สวนกลับทันที ไม่ปล่อยให้เขาได้หยุดหายใจ
“ถ้านายคิดไม่ออก ก็ไม่ต้องคิด จำไว้แค่ว่าอย่าเปิดหน้าต่าง ไม่อย่างนั้นก็เตรียมรับผลที่ตามมาได้เลย”
พูดจบ ชาร์ลส์ก็ก้าวฉับๆ ไปทางห้องครัว
เพราะคนไข้ยังต้องกินอาหาร
ไม่มีใครพูดอะไรอีก ผ่านไปนานสองนาน มีเพียงไปเปอร์ที่พูดขึ้นมาเสียงแผ่ว “เมื่อคืนพวกเราสามคนไม่ได้ยินเสียงอะไรจากราเชลเลย”
เจฟฟรีย์เป็นคนแรกที่ตอบ “เมื่อคืนพวกเธอหลับกันเหรอ?”
แมเดลีนตอบด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย “ใช่ พวกเราเหนื่อยเกินไป ก็เลยหลับไปอย่างรวดเร็ว”
“ฉันว่าฉันได้ยินอะไรบางอย่างนะ” เจอรัลด์นึกย้อนไป เขาขบกรามแน่นก่อนจะพูดต่อ “ฉันได้ยินเสียงเธอหัวเราะเบาๆ แล้วก็…”
“แล้วก็อะไร?” เจฟฟรีย์ขึ้นเสียงสูง
“แล้วฉันก็ได้ยินเธอเรียกหาแม่ด้วย”
ชาร์ลส์กับเจฟฟรีย์มองหน้ากัน
“แม่เหรอ? นายแน่ใจนะ?” เจฟฟรีย์ถาม
“บางที… บางทีฉันอาจจะแค่กึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วหูแว่วไปเอง” เจอรัลด์เกาท้ายทอยแล้วเดินเลี่ยงไป
ชาร์ลส์มอบหมายงานในมือให้เจฟฟรีย์ “นายทำอาหารนะ ใช้เนื้อล้วนๆ ไม่ต้องใส่อย่างอื่นเพิ่ม ฉันจะขึ้นไปดูอาการคนไข้”
เจฟฟรีย์อ้าปากทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
ชาร์ลส์ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วทำปากขมุบขมิบโดยไม่มีเสียงว่า ‘ไม่ต้องห่วง’
จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ อีกสี่คนตามเขาขึ้นไปชั้นบน
บนชั้นสอง เด็กสาวทั้งสามยังคงจับมือกันแน่น เหมือนลูกนกในฤดูหนาว
เจอรัลด์พยักหน้าให้ชาร์ลส์ก่อนจะเปิดประตู เป็นเชิงว่าเขาพร้อมแล้ว
แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นคาวเลือดก็โชยปะทะจมูกของทุกคน
ทำไมถึงมีกลิ่นเลือดที่นี่ด้วย?
ทุกคนลังเล ไม่กล้าก้าวเข้าไปในห้อง
ในตอนนั้นเอง ร่างใหญ่บนเตียงคนไข้ก็ขยับเล็กน้อย
คนไข้ค่อยๆ หันศีรษะมาเผชิญหน้ากับพวกเขา
และที่มุมปากของเขา ก็มีคราบเลือดน่าสยดสยองติดอยู่
































































































































































































































