บทที่ 13
เจฟฟรีย์เหงื่อกาฬแตกพลั่กเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"อะไรนะ พวกเขาไม่ใส่รองเท้ากันเลยหรือไง"
ชาร์ลส์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเจฟฟรีย์
"คุณผู้หญิงของบ้านเคยพูดถึงงานของเธอไหม"
"ไม่นะ ผมว่าไม่"
เจฟฟรีย์เอียงคอ พยายามนึกทบทวน
"แต่การจะเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ ถึงเธอจะไม่ได้ทำงานก็ยังต้องออกไปข้างนอกอยู่ดีใช่ไหม หรือว่าคุณผู้หญิงของบ้านจะเอาของทุกอย่างไปด้วย"
"คุณคิดว่าผู้หญิงกับเด็กจะมีรองเท้าแค่ไม่กี่คู่หรือไง แล้วพวกเขาก็เพิ่งไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ จำเป็นต้องเก็บของไปหมดทุกอย่างเลยเหรอ"
ชาร์ลส์ตอบกลับอย่างเย็นชา
"เว้นเสียแต่ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว บางทีอาจจะเป็นอย่างที่คุณสงสัย...ไม่มีใครอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้จริงๆ!"
เมื่อได้ยินข้อสันนิษฐานของชาร์ลส์ เจฟฟรีย์ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
จริงอย่างว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้หญิงกับเด็กจะไม่มีรองเท้าสำรอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณผู้หญิงของบ้านดูเป็นคนพิถีพิถันและดูดีมีระดับขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นคนเดียวที่ดูแลทั้งครอบครัว เบาะแสทั้งหมดนี้ชี้ไปยังความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว
บ้านหลังนี้อาจเป็นเพียงสถานที่สำหรับ "เกม"
"กลับไปที่ห้องนั่งเล่นกันเถอะ ทุกคนควรมารวมตัวกัน"
ชาร์ลส์นิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน
เขามองผ่านกระจกบนประตูออกไปในความมืดมิดสนิท นอกจากม่านฝนที่โปรยปรายไม่ขาดสายและความหนาวเย็นที่แผ่ออกมาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ชาร์ลส์กลับยิ่งรู้สึกว่ามีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืด คอยจับจ้องเขา...จับจ้องทุกคนอยู่!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สั่งให้ทุกคนรีบตรวจสอบหน้าต่างและดึงม่านปิดให้สนิท
ในห้องนั่งเล่น ทุกคนต่างมีสีหน้าอิดโรย
เมื่อนับจำนวนดู นอกจากเรเชลที่เสียชีวิตไปแล้วกับเอมิลี่ที่หนีไป พวกเขาก็เหลือกันเพียงห้าคน
ในตอนนั้นเอง เจอรัลด์ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอาทุกคนสะดุ้ง
"เมื่อกี้คุณคุยอะไรกับคนไข้คนนั้น ทำไมจู่ๆ เขาถึงยอมร่วมมือกับคุณ"
ใบหน้าของเขาที่ซีดอยู่แล้ว บัดนี้กลับขาวราวกับกระดาษจนเกือบจะเป็นสีเทา
ด้วยอาชีพศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เขามักจะมีความหยิ่งทะนงในตัวอยู่บ้าง ไม่ยอมเสียกิริยาต่อหน้าคนอื่น แม้บางครั้งจะหวาดกลัวไม่ต่างจากคนอื่น แต่เขาก็ยังพยายามรักษาความสงบและสำรวมท่าทีไว้
สายตาของทุกคนหันไปมองชาร์ลส์ตามคำถามของเจอรัลด์
ชาร์ลส์กระแอมแล้วตอบว่า "ผมบอกเขาว่าถ้าไม่กิน ผมจะยัดมันลงคอเขา"
ทุกคนตกตะลึงกับคำพูดนี้
อะไรนะ
แมเดลีนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
"แค่นั้นน่ะเหรอ แล้วเขาก็กินเลย?" เจอรัลด์ขมวดคิ้ว พยายามจับสังเกตจากสีหน้าของชาร์ลส์ว่าเขาพูดความจริงหรือไม่
ชาร์ลส์พยักหน้า "มันก็ง่ายๆ แบบนั้นแหละ คนไข้คนหนึ่งจะมาขัดขืนอะไรผมได้"
ไปเปอร์พูดเสริมขึ้นมาว่า "ฉันว่าเราควรเลี่ยงการเข้าใกล้คนไข้คนนั้นให้มากที่สุดนะคะ ยังไงซะทุกคนก็เห็นคราบเลือดรอบปากของเขา การตายของเรเชลอาจจะเกี่ยวข้องกับเขาก็ได้"
"แล้วคนไข้คนนั้นก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในสภาพผัก ทำไมคุณผู้หญิงของบ้านถึงบอกว่าสามีของเธออยู่ในสภาพผักล่ะคะ"
"แล้วทำไมถึงมีคราบเลือดรอบปากของเขาล่ะ หรือว่ามันจะเป็น..."
เสียงของเธอค่อยๆ แผ่วลงและเริ่มตัวสั่น เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังหวาดกลัวความคิดของตัวเอง
ไปเปอร์ชำเลืองมองไปทางบันได แล้วรีบเบือนหน้าหนีพลางเกาะแขนแมเดลีนไว้แน่น
"อย่าขู่ตัวเองสิ" เจฟฟรีย์พูดกับไปเปอร์ด้วยสีหน้าจริงจัง "เลิกคิดเรื่องนั้นได้แล้ว"
ไปเปอร์ใช้มือปิดหน้าสะอื้น "ฉันกลัว ฉันไม่อยากตาย"
"เรเชล...เรเชลตายอย่าง..."
"ฉันกลัวจริงๆ ฉันกลัวเหลือเกินว่าฉันจะเป็นรายต่อไปต่อจากเรเชล"
แมเดลีนคอยลูบหลังไปเปอร์เพื่อปลอบโยน "ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร"
"ทุกคนกำลังพยายามหาทางอยู่ เราจะออกไปจากที่นี่ได้"
เจฟฟรีย์ถอนหายใจแล้วหันไปมองชาร์ลส์ที่นั่งเงียบอยู่
เขาเห็นชาร์ลส์กำลังกัดเล็บอีกแล้ว จากช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมา เขาพอจะเดาได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ชาร์ลส์ทำเวลาที่กำลังใช้ความคิด
"ชาร์ลส์ คุณมีความคิดอะไรบ้างไหม"
เจฟฟรีย์เลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้ชาร์ลส์
พอเห็นเจฟฟรีย์ขยับเข้ามาใกล้ ชาร์ลส์ก็ขยับตัวเล็กน้อยแล้วเหลือบมองเขา
"คืนนี้ผมอยากจะทดสอบสมมติฐานของผม"
"สมมติฐานอะไร"
ชาร์ลส์ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ ทุกคน
"ผมต้องการคนไปด้วยหนึ่งคน ใครจะอาสาไปบ้าง"
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็นึกถึงเหตุการณ์น่าสลดเมื่อคืนก่อนขึ้นมาทันที และพร้อมใจกันก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าพูดอะไร
ผ่านไปนาน เจฟฟรีย์ก็กัดฟันแล้วลุกขึ้นยืนตรง "ทำไมต้องเป็นตอนกลางคืนด้วย"
ชาร์ลส์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเจฟฟรีย์แล้วพูดว่า "ต้องเป็นตอนกลางคืนเท่านั้น...ต้องเป็นตอนกลางคืน"
ราวกับต้องมนตร์สะกด เจฟฟรีย์พบว่าตัวเองกำลังพึมพำตอบรับดวงตาสีมะกอกของชาร์ลส์ "งั้น...ผมจะไปกับคุณ"
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองโดยสัญชาตญาณ
ทำไมเขาถึงตอบตกลงชาร์ลส์ไปโดยสัญชาตญาณ
ทำไมร่างกายของเขาถึงขยับไปก่อนที่สมองจะสั่งการ
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นบนริมฝีปากของชาร์ลส์
"ดี งั้นคืนนี้ก็อยู่ใกล้ๆ ผมไว้ล่ะ"
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูก็ดังมาจากชั้นสอง
"ไม่!"
"ไว้ชีวิตฉันเถอะ ได้โปรด ฉันจะบอกคุณ"
"อ๊ากกกก!"
บทสนทนาถูกตัดขาดลงอย่างกะทันหันด้วยเสียงกรีดร้องสุดท้าย
ความรู้สึกหวาดกลัวนั้นกลับเข้ามาในหัวใจของทุกคนอีกครั้ง
พวกเขามองหน้ากัน ความหวาดหวั่นในแววตานั้นชัดเจนจนไม่ต้องเอ่ยคำใด
เพราะพวกเขารู้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
นั่นคือเอมิลี่...คนที่เพิ่งหนีออกไป
































































































































































































































