บทที่ 2

ทุกคนตัวสั่นสะท้านพร้อมกัน หัวใจของพวกเขาค่อยๆ ดิ่งวูบลงไป

พวกเขาทุกคนต่างหวังว่าชายท่าทางภูมิฐานคนนั้นแค่ล้อเล่น

แต่ทว่า เมื่อได้เห็นสีหน้าที่จริงจังและเยือกเย็นของเขา ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็พลันสลายไป

"เราไม่ไป...ได้ไหมคะ" เด็กสาวผมสั้นในชุดนักเรียนเอ่ยถามเสียงสั่น

"ได้สิ"

ชายท่าทางภูมิฐานเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง

"แต่หลังจากนี้ไป พวกเธอก็ควรจะนอนลืมตาเอาไว้จะดีกว่า"

เด็กสาวผมสั้นอึ้งไป "หมายความว่ายังไงคะ"

ชายท่าทางภูมิฐานแค่นยิ้มอีกครั้ง "ก็เพราะว่าถ้าพวกเธอไม่เข้าไปทำภารกิจในห้องให้เสร็จ 'ของ' ในห้องมันจะออกมาตามหาพวกเธอเอง"

"และมันจะตามหาพวกเธอจนเจอ ไม่ว่าพวกเธอจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ตาม"

"เมื่อไหร่ที่มันหาเจอ พวกเธอก็จะ..."

ชายท่าทางภูมิฐานไม่ได้พูดต่อจนจบ เขาเพียงแค่ใช้มือทำท่าปาดคอ ทำให้ทุกคนถึงกับตัวสั่นงันงก

ชาร์ลส์เงยหน้ามองขึ้นไปที่ชั้นสองแล้วเอ่ยถามชายคนนั้น "ก่อนจะเริ่มภารกิจ มีข้อควรระวังอะไรเป็นพิเศษไหมครับ"

"มี"

"ภารกิจในห้องถึงแม้จะอันตราย แต่ก็มีทางออกมากกว่าหนึ่งทาง ขอแค่หาทางออกให้เจอ บางครั้งต่อให้ทำภารกิจไม่สำเร็จก็สามารถออกมาได้ก่อนเวลา"

ชาร์ลส์ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้ชายคนนั้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินตรงไปยังบันไดแล้วก้าวเท้าขึ้นไปบนขั้นแรก

เมื่อเห็นชาร์ลส์ตัดสินใจแน่วแน่ เจฟฟรีย์ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันเดินตามไป

เจฟฟรีย์เร่งฝีเท้าตามชาร์ลส์ให้ทัน พลางกระซิบจากด้านหลัง "ใจกล้าเป็นบ้าเลยนะคุณ! ให้ตายสิ ที่นี่มันน่าขนลุกชะมัด"

อันที่จริง เจฟฟรีย์สังเกตเห็นเขาตั้งแต่ตอนอยู่บนเรือแล้ว

ก็แหงล่ะ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอนที่เห็นชิ้นส่วนแขนขาของจอห์นกระจัดกระจาย และได้กลิ่นคาวเลือดผสมกับอาเจียนที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในน้ำ

"ไม่ใช่ว่าผมกล้าหาญอะไรหรอก"

ชาร์ลส์หัวเราะเยาะตัวเอง

"แต่เป็นเพราะเราไม่มีทางเลือกต่างหาก"

"แต่ตอนที่คุณเห็นชิ้นส่วนพวกนั้น สีหน้าคุณไม่เปลี่ยนเลยนะ บอกมาหน่อยสิว่าเมื่อก่อนคุณเคยเห็นศพบ่อยๆ เหรอ"

"ก็ทำนองนั้นครับ"

"แล้วคุณ..."

"อะไรหรือครับ"

"คุณทำงานอะไร"

"แล้วคุณล่ะ"

"บ้าเอ๊ย ผมก็แค่เจ้าหน้าที่อุทยานคนหนึ่ง โดนหลอกเรื่องเงินจนต้องมาลงเอยในที่เฮงซวยนี่..."

เจฟฟรีย์กำลังจะพูดต่อ แต่ชาร์ลส์ยกแขนขึ้นห้าม ส่งสัญญาณให้เขาเงียบ

เมื่อเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็มาถึงชั้นสองแล้ว

กลิ่นเนื้อเน่าปนกลิ่นคาวเลือดลอยโชยมา ที่สุดปลายทางเดินอันมืดมิด บานประตูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา

มันเป็นประตูไม้ที่มีลวดลายแปลกตา คล้ายกับลวดลายบนประตูหลักของโรงแรม

ขณะที่พวกเขากำลังงุนงง ทันใดนั้นก็มีตัวอักษรสีเลือดปรากฏขึ้นบนบานประตู

"ดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นเวลาสี่วัน"

'ภารกิจแรกของเราคือการดูแลผู้ป่วยงั้นเหรอ' ชาร์ลส์ก้มหน้าครุ่นคิด

คนอื่นๆ ก็ทยอยเดินตามขึ้นมา เมื่อเห็นข้อความบนประตู ทุกคนต่างก็สับสน

"ภารกิจมันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ"

ราเชล เทย์เลอร์ หญิงสาวผมบลอนด์เอียงคอด้วยความสงสัย

ทุกคนเริ่มพูดคุยกันเสียงเบา แต่จู่ๆ พวกเขาก็หยุดชะงัก ราวกับได้รับคำสั่งอะไรบางอย่าง แล้วหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน

ประตูถูกเปิดออก กลุ่มควันสีขาวลอยออกมาจากรอยแยกของประตู จากนั้นมือที่เหี่ยวย่นและซีดขาวก็ยื่นออกมาจากประตูบานนั้น

ราเชลกำลังจะกรีดร้องออกมา แต่ในวินาทีต่อมาเธอก็หมดสติไปทันที

จากนั้นคนอื่นๆ ก็ล้มลงกับพื้นทีละคน

ชาร์ลส์มองดูทุกคนล้มลง พลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ในชั่วพริบตา ภาพตรงหน้าของเขาก็มืดดับไป ก่อนจะล้มฟุบลงไปทั้งอย่างนั้น

เมื่อชาร์ลส์ฟื้นคืนสติ เขาก็มองไปรอบๆ

คนอื่นๆ ก็กำลังพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างโซเซ ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันเช่นกัน

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว

หมอกควันที่อยู่รอบตัวค่อยๆ จางลง ป้ายสนิมขนาดใหญ่เหนือซุ้มประตูโค้งก็ปรากฏให้เห็น: สวีทโฮม

ที่นี่คือชุมชนแห่งหนึ่ง มีบ้านเรือนหลากหลายรูปแบบตั้งอยู่สองฝั่งของถนนสายหลักที่ทอดยาวจากซุ้มประตูอย่างสมมาตร

ชุมชนแห่งนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก แม้แต่สนามหญ้าก็ยังถูกตัดแต่งอย่างดี แต่ที่น่าแปลกคือกลับไม่เห็นผู้คนแม้แต่คนเดียว ราวกับว่าผู้อยู่อาศัยได้พากันอพยพหนีไปหมดแล้ว

มันเงียบเกินไป เงียบจนน่าขนลุก

"ทำไมที่นี่ไม่มีใครเลย"

ชาร์ลส์เดินสำรวจไปรอบๆ และหยุดลงที่น้ำพุกลางชุมชน เขาประหลาดใจที่พบฝูงหนูกำลังกินน้ำอยู่

แต่เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ ฝูงหนูก็แตกฮือหนีไป

ชาร์ลส์เดินต่อไปเพื่อตามหาบ้านตามที่ภารกิจกำหนด

ในไม่ช้า เขาก็เจอมัน

เพราะมันเป็นบ้านหลังเดียวในชุมชนที่มีคนยืนอยู่ข้างหน้า

"สวัสดีค่ะ"

คนที่ทักทายคือสุภาพสตรีในชุดสีดำ ข้างกายเธอมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หลายใบ ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะเดินทางไกล

‘สุภาพสตรี’ ผู้นั้นยกหมวกกันแดดปีกกว้างสีดำขึ้นเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มสุภาพให้ชาร์ลส์

“กรุณารอสักครู่นะคะ ยังมากันไม่ครบทุกคน”

หญิงสาวตรงหน้างดงามจนน่าทึ่งเมื่อแรกเห็น ทว่าความเย็นชาในรอยยิ้มของเธอกลับทำให้ชาร์ลส์รู้สึกหนาวเยือก

รอยยิ้มของเธอดูไม่เหมือนการต้อนรับ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนการเยาะเย้ยมากกว่า

ชาร์ลส์ก้มหน้าลงและเริ่มกัดเล็บตามความเคยชิน ซึ่งเป็นท่าประจำของเขาเวลาใช้ความคิด

ทันใดนั้น มือใหญ่คู่หนึ่งก็ตบลงบนบ่าของชาร์ลส์

เขายื่นมือออกไปเพื่อจะจับไว้ แต่กลับพบว่าเป็นเจฟฟรีย์ ชายร่างกำยำไว้หนวดเคราคนก่อนหน้านี้

“ปฏิกิริยาไวจริงๆ!”

ชาร์ลส์ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วรีบชักมือกลับ

เมื่อเห็นว่าชาร์ลส์ไม่ตอบอะไร เจฟฟรีย์ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อและเปลี่ยนเรื่องคุย

“ที่นี่คือที่ที่เราต้องมาทำงานสินะ?”

“ใช่” ชาร์ลส์พยักหน้า “แต่เราจะยังเข้าไปในบ้านไม่ได้จนกว่าทุกคนจะมาครบ”

เจฟฟรีย์มองไปรอบๆ แล้วใช้มือขุดดินบนพื้นพึมพำว่า “บ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกแปลกๆ”

ชาร์ลส์สงสัยในการกระทำของเขาจึงถามว่า “บ้านหลังนี้มันผิดปกติยังไงเหรอ?”

เจฟฟรีย์ลุกขึ้นยืน ใช้เท้าเกลี่ยดินให้เรียบ แล้วกระทืบลงไปแรงๆ

“บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่บ้านหลังนี้...” เจฟฟรีย์หยุดไปชั่วครู่ “ดูไม่เหมือนมีคนอยู่”

ชาร์ลส์หายใจติดขัด เขาถามต่อ “คุณเคยเจอบ้านแบบนี้ในป่ามาก่อนเหรอ?”

ขณะที่เจฟฟรีย์กำลังจะอ้าปากพูด ‘สุภาพสตรี’ ผู้นั้นก็ปรบมือขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขาทั้งสอง

“ยินดีต้อนรับทุกคนค่ะ!”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนทั้งเจ็ดคนมาถึงกันครบแล้ว

‘สุภาพสตรี’ ที่เคยยืนนิ่งอยู่ จู่ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว เดินไปมาบนขั้นบันไดอย่างแข็งทื่อราวกับเครื่องจักร

“เนื่องจากเป็นวันเกิดของคุณแม่ ฉันจึงต้องพาพวกลูกๆ กลับไปเยี่ยมท่านที่ต่างจังหวัด แต่สามีของฉันประสบอุบัติเหตุจนกลายเป็นเจ้าชายนิทราเมื่อหลายปีก่อนและต้องการคนดูแล”

“เพราะสามีของฉันตัวใหญ่มาก เขาจึงต้องการคนช่วยพลิกตัวทุกวัน ฉันกังวลว่าคนดูแลแค่สองสามคนจะไม่พอ ก็เลยจ้างพวกคุณทุกคนมา”

“เรื่องค่าจ้างไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พอกลับมาแล้วฉันจะเตรียมทิปงามๆ ไว้ให้พวกคุณทุกคนเลย”

ขณะที่พูด เธอก็พาทุกคนเข้าไปในบ้านและขึ้นไปที่ชั้นสอง เปิดประตูห้องผู้ป่วย

ห้องนั้นใหญ่มาก ราวกับนำห้องสองห้องมารวมกัน

ถึงอย่างนั้น ภายในห้องก็ยังมืดสลัวราวกับยามโพล้เพล้

แถมยังมีกลิ่นเหม็นอับอันไม่พึงประสงค์อีกด้วย

“อ๊ะ!” เสียงกรีดร้องของราเชล หญิงสาวผมบลอนด์ ดึงดูดความสนใจของทุกคน

ทุกคนมองตามสายตาของราเชลไปยังร่างมหึมาที่ดูคล้ายหมูอ้วนตัวหนึ่ง ยากจะจินตนาการว่านั่นคือคน

ผิวของชายคนนั้นเป็นสีเทา ไขมันของเขาแผ่ขยายออกไปราวกับสายน้ำ หากไม่มีเสียงบี๊บจากเครื่องวัดชีพจร คงไม่มีใครคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่

“นี่คือสามีของฉันเองค่ะ เขาแข็งแรงดีใช่ไหมล่ะ?”

น้ำเสียงของ ‘สุภาพสตรี’ อ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง

เธอก้มลงลูบไล้ใบหน้าของชายคนนั้นที่อ้วนจนอวัยวะต่างๆ ถูกบีบอัดเข้าด้วยกันเบาๆ แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ที่รัก ฉันจะพาลูกๆ ไปฉลองวันเกิดให้คุณแม่นะคะ สี่วันนี้จะมีคนดูแลทั้งเจ็ดคนคอยดูแลคุณ ฉันจะรีบกลับมานะ ฉันจะคิดถึงคุณ”

พูดจบ เธอก็โน้มตัวลงจูบชายคนนั้นและกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเขา

สีหน้าของทุกคนดูย่ำแย่มาก บางคนถึงกับเบือนหน้าหนีเพื่อหลีกเลี่ยงการมองภาพนั้น

ในที่สุด ‘สุภาพสตรี’ ก็ยอมลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจแล้วมองมาที่ทุกคน “ถึงแม้สามีของฉันจะเป็นเจ้าชายนิทรา แต่เขาก็ยังทานอาหารเองได้ พวกคุณแค่ต้องปั่นอาหารให้เป็นเนื้อละเอียดแล้วป้อนเขาก็พอ”

“เขาเจริญอาหารมากและต้องการเนื้อสัตว์ทุกวัน”

‘สุภาพสตรี’ ตบหน้าผากตัวเองเบาๆ

“ดูฉันสิ พูดมาตั้งเยอะยังไม่ได้พาไปดูห้องครัวเลย เชิญตามมาทางนี้ค่ะ”

เธอพาทุกคนลงไปที่ชั้นหนึ่งและเข้าไปในห้องครัว

ห้องครัวใหญ่มาก มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน

แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือตู้เย็นขนาดใหญ่สองตู้ที่ตั้งตระหง่านราวกับกำแพงอยู่ตรงหน้าทุกคน

“เนื่องจากที่นี่ออกไปข้างนอกไม่ค่อยสะดวก ฉันก็เลยมีนิสัยชอบกักตุนอาหารไว้เยอะๆ”

“อีกอย่าง ตอนนี้ก็เข้าหน้าร้อนแล้ว ฤดูฝนก็จะตามมาในไม่ช้า พายุฝนที่นี่น่ากลัวมาก บางครั้งตกติดต่อกันหลายวันเลยทีเดียว”

พูดจบ ‘สุภาพสตรี’ ก็เหลือบมองทุกคนแวบหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชาที่แทบสังเกตไม่เห็น

“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันเตรียมวัตถุดิบไว้พร้อมหมดแล้ว” เธอเปิดตู้เย็นออกอย่างโอ่อ่าแล้วมองทุกคนอย่างภาคภูมิใจ “ดูสิคะ เนื้อ ไข่ ผัก ตุนไว้ครบเลย”

พูดจบ ‘สุภาพสตรี’ ก็มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “มีใครมีคำถามอะไรไหมคะ?”

ทุกคนยังคงเงียบ

ขณะที่ ‘สุภาพสตรี’ กำลังจะพูด ชาร์ลส์ก็ถามขึ้นว่า “คุณผู้หญิงครับ ในละแวกนี้ไม่มีใครอื่นอาศัยอยู่เลยเหรอครับ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป