บทที่ 4

ฉะ-ฉันอยู่บนรถบัส แล้วก็เผลอหลับไป พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่บนเรือลำเล็กนี่แล้วค่ะ

เด็กสาวผมสั้นในชุดนักเรียน แมเดลีน ฟลอเรส พูดเสริมขึ้นมา "เหมือนกันเลยค่ะ ฉันกำลังทำการบ้านอยู่แล้วก็เผลอหลับไปแป๊บนึง แล้วจากนั้นก็..."

ทุกคนต่างพูดคุยกันและตระหนักได้ว่าพวกเขามาถึงที่นี่ด้วยวิธีประหลาดแบบเดียวกัน

ทุกคนต่างรู้สึกง่วงนอนอย่างมาก และเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่บนเรือลำเล็กแล้ว

ราวกับว่าพวกเขาถูกสาป

ชั่วขณะหนึ่ง ความหวาดกลัวได้เข้าครอบงำทุกคน

"เชี่ยเอ๊ย นี่มันเรื่องผีสางอะไรวะเนี่ย"

เจฟฟรีย์ชายเคราดกสบถออกมาอย่างหัวเสีย

ไปเปอร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ "เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นวิธีพิเศษในการเริ่มต้นการผจญภัย เพราะรายการเรียลลิตี้โชว์ผจญภัยในทีวีหลายรายการก็มีกิจกรรมแปลกๆ แบบนี้"

เจฟฟรีย์พูดแทรกขึ้นมาอย่างเย็นชา "ลืมเรื่องจอห์นไปแล้วเหรอ รายการเรียลลิตี้โชว์จะชำแหละเขาเหรอ"

นัยน์ตาของไปเปอร์สั่นไหว เธอพูดตะกุกตะกัก "สมัยนี้รายการหลายรายการก็มีเอฟเฟกต์ที่สมจริงมากนะคะ ถ้ามันเป็นแค่การแสดงล่ะคะ"

"แล้วเลือดที่พุ่งกระฉูดออกมานั่นก็เป็นของประกอบฉากด้วยเหรอ"

"ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ พวกเขาสามารถใช้สารเคมีสร้างสิ่งที่ดูเหมือนเลือดได้ แม้แต่กลิ่นก็ยังเลียนแบบได้เลยค่ะ"

ไปเปอร์พูดรัวเร็ว ราวกับกำลังสะกดจิตตัวเอง เกลี้ยกล่อมตัวเองว่านี่เป็นเพียงเกมผจญภัยเท่านั้น

"มันไม่ใช่สารเคมี แต่มันคือเลือดมนุษย์" ชาร์ลส์พูดขึ้นมาทันที ทำลายการหลอกตัวเองชิ้นสุดท้ายของไปเปอร์จนหมดสิ้น

"ผมเรียนแพทย์มาและทำการทดลองมาเยอะ ผมบอกคุณได้ชัดเจนเลยว่านั่นคือเลือดมนุษย์"

"ไม่ใช่สารเคมี ไม่ใช่เลือดสัตว์"

"เลือดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำนั่นเป็นเลือดมนุษย์ที่ยังสดใหม่อยู่เลย!"

"และแขนขาที่ถูกตัดนั่นก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานด้วย"

ยิ่งชาร์ลส์พูด เสียงของเขาก็ยิ่งแผ่วลง ราวกับกำลังบังคับตัวเองให้ยอมรับความจริง

"พอได้แล้ว!"

เด็กสาวผมสั้น แมเดลีน โผเข้ากอดไปเปอร์ที่ตัวสั่นเทา พร้อมกับพูดขัดชาร์ลส์

ชาร์ลส์มองเด็กสาวสองคนที่กอดกันตัวสั่นแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้

ไม่แปลกใจเลยที่พวกเธอจะกลัว

ต่อให้เป็นใครก็ตามในชีวิตจริงก็ต้องหวาดผวาเมื่อเจอกับภาพแบบนั้น และมันอาจจะกลายเป็นฝันร้ายติดตัวไปตลอดชีวิต

มีเพียงคนแบบเขาที่คลุกคลีกับศพบ่อยๆ เท่านั้นถึงจะยังคงสงบสติอารมณ์ได้ค่อนข้างดี

เพราะอย่างไรเสีย ภาพเหตุการณ์นั้นมันก็ยากเกินกว่าจะหวนนึกถึงจริงๆ

"เอาเป็นว่า เรามาคิดกันก่อนว่าจะผ่านสี่วันนี้ไปได้ยังไง"

คนที่พูดคือศาสตราจารย์ผมสีเงินตาสีฟ้า เจอรัลด์ เคลลี

"เราต้องดูแลคนไข้เป็นเวลาสี่วัน แต่เรามีกันเจ็ดคน เป็นผู้หญิงสี่คน ผู้ชายสามคน เราจะแบ่งงานกันยังไงดี"

ทุกคนต่างหลบสายตา ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูด เจฟฟรีย์จึงเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเอง "ให้พวกผู้หญิงซักผ้าทำอาหาร ส่วนพวกผู้ชายดูแลคนไข้เป็นไง"

"ทำไมล่ะ" ราเชลสาวผมบลอนด์พูดขัดเจฟฟรีย์ "เจ้าอ้วนคนนั้นแทบจะตายอยู่แล้ว ใครๆ ก็ดูออกว่าการดูแลคนไข้เป็นงานที่สบายที่สุด พวกคุณกำลังจะเอาเปรียบ"

"ใครจะอยากซักผ้าทำกับข้าวให้พวกผู้ชายตัวเหม็นอย่างพวกคุณกัน ซวยชะมัด"

"แต่เราต้องคอยพลิกตัวคนไข้นะ พวกคุณจะทำไหวได้ยังไง"

เจฟฟรีย์พยายามจะอธิบาย แต่ชาร์ลส์ห้ามเขาไว้พร้อมกับส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่าอย่าไปเถียง

"ผมสลับกับคุณเอง ผมจะซักผ้าทำอาหาร ส่วนคุณไปดูแลคนไข้ วันละสิบสองชั่วโมง ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม หลังสี่ทุ่มเราทุกคนก็พักผ่อน"

ราเชลกอดอกและพยักหน้าหลังจากได้ฟังการจัดการของชาร์ลส์

"ขอบใจ"

ชาร์ลส์หันไปถามผู้หญิงอีกสามคน

"แล้วพวกคุณล่ะ อยากจะสลับด้วยไหม"

แมเดลีนพยักหน้า แสดงว่าเธอต้องการสลับ

เอมิลี่ การ์เซีย ที่เงียบมาตลอดก็ยกมือขึ้นเช่นกัน

"ฉัน... ฉันทำอาหารไม่เป็นจริงๆ ค่ะ"

"ไม่เป็นไร งั้นคุณก็ไปดูแลคนไข้แล้วกัน"

ในสังคมสมัยใหม่ คนที่ทำอาหารเป็นมีน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ชีวิตเร่งรีบแบบนี้ คนส่วนใหญ่มักจะเลือกประหยัดเวลาด้วยการไปกินข้าวนอกบ้านมากกว่า

"คุณเคลลีครับ ทำอาหารเป็นไหมครับ"

เจอรัลด์ก้มหน้าลง ความเงียบของเขาคือคำตอบปฏิเสธ

เจฟฟรีย์กับชาร์ลส์สบตากัน "งั้นคุณเคลลีก็ดูแลคนไข้ด้วยแล้วกันครับ"

คนไข้อยู่ที่ชั้นสอง และห้องครัวอยู่ที่ชั้นหนึ่ง

ดังนั้นการจัดห้องจึงเป็นไปตามนั้น คือคนที่ดูแลคนไข้พักอยู่ชั้นสอง ส่วนคนที่ซักผ้าทำอาหารพักอยู่ชั้นหนึ่ง

เมื่อแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง

ราเชลสะบัดผมแล้วเริ่มเดินขึ้นบันไดไป

พอเดินไปได้ครึ่งทาง เธอก็หยุดแล้วหันมาตะโกนใส่ชาร์ลส์ "นี่! นายรับหน้าที่ทำอาหารไม่ใช่เหรอ นี่มันเลยห้าโมงเย็นแล้วนะ ฉันหิว!"

พูดจบเธอก็กระทืบเท้าเดินขึ้นบันไดไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป