บทที่ 5
เจฟฟรีย์เดินตามชาร์ลส์เข้าไปในครัวพร้อมกับบ่นอุบอิบ
ไม่นานไพเพอร์ที่กำลังสะอึกสะอื้นก็เดินเข้ามาในครัวด้วย
“เอาล่ะๆ ใจเย็นๆ ก่อน”
ชาร์ลส์บิดขวดน้ำแล้วยัดใส่มือเจฟฟรีย์ หวังจะให้เขาหุบปากเลิกทำตัวน่ารำคาญเสียที
“ทำไมเธอถึงได้ไร้เหตุผลขนาดนี้ ไม่เคยมีใครสั่งสอนเลยหรือไง”
เจฟฟรีย์ดื่มน้ำอึกใหญ่ พยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง
“ถ้าเธออยากดูแลเขาก็ปล่อยเธอไปเถอะ อีกอย่าง บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”
ชาร์ลส์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ขณะที่มือก็ง่วนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบ
พอได้ยินดังนั้น ไพเพอร์ที่กำลังจะสงบลงก็รู้สึกใจหายวาบขึ้นมาอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไง” เจฟฟรีย์กับไพเพอร์ถามขึ้นพร้อมกัน
ชาร์ลส์หยุดมือแล้วหันมามองทั้งสองคน
“พวกเธอลืมไปแล้วเหรอว่าไอ้หนุ่มหัวกะทิคนนั้นพูดว่าอะไร”
“เราต้องกลับออกไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาถึงจะยอมตอบคำถามของเรา”
“นั่นหมายความว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยอันตรายที่ซ่อนอยู่ หรืออาจจะถึงตายเลยก็ได้!”
พอได้ฟังคำพูดของชาร์ลส์ ร่างเล็กๆ ของไพเพอร์ก็เริ่มสั่นเทา
“อะ... อันตรายแบบไหนเหรอคะ”
ชาร์ลส์ส่ายหน้าแล้วหันกลับไปสนใจวัตถุดิบต่อ
“ฉันยังไม่มีความเห็นอะไร แต่ในเมื่อภารกิจคือการดูแลผู้ป่วย ฉันเดาว่าอันตรายที่สุดก็น่าจะเป็นตัวผู้ป่วยเองนั่นแหละ”
“ยังไงก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคืออยู่ให้ห่างจากผู้ป่วยคนนั้นไว้ให้มากที่สุด”
พอได้ฟังข้อสันนิษฐานของชาร์ลส์ เจฟฟรีย์ก็คิดว่ามันมีเหตุผล เขาจึงก้มลงไปปลอบไพเพอร์ที่กำลังสะอื้น
“ไม่เป็นไรนะ อยู่กับพวกเราเธอจะปลอดภัยกว่า”
ชาร์ลส์เหลือบมองเจฟฟรีย์ ถอนหายใจ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากเตรียมวัตถุดิบเสร็จ เขาก็กระชากประตูช่องแช่แข็งเปิดออกเพื่อหาเนื้อสัตว์
เมื่อเห็นกองเนื้อที่สุมกันเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ ชาร์ลส์ก็คาดว่ามันน่าจะหนักไม่ต่ำกว่าร้อยปอนด์
เขาหยิบถุงที่เขียนว่า “เนื้อวัว” ออกมาแล้วใส่ในเตาไมโครเวฟเพื่อละลายน้ำแข็ง
ทันทีที่เขากำลังจะปิดตู้เย็น เนื้อชิ้นกลมๆ ชิ้นหนึ่งก็กลิ้งออกมา
ชาร์ลส์หยิบถุงนั้นขึ้นมา ชั่งน้ำหนักในมือ แล้วเปิดดู
เนื้อชิ้นนี้ไม่มีป้ายบอกและถูกแช่แข็งจนแข็งโป๊ก สีของเนื้อก็ดูแปลกๆ บ่งบอกว่ามันถูกเก็บไว้นานมากแล้ว
ที่น่าประหลาดคือ มีของสีดำๆ ลักษณะคล้ายขนพันอยู่กับน้ำแข็งเต็มไปหมดจนดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
“นายมองอะไรจ้องเขม็งขนาดนั้น”
เจฟฟรีย์เห็นชาร์ลส์ยืนนิ่งอยู่นานจึงเดินเข้ามาดูด้วยความสงสัย
“ดูสิ เนื้อนี่มันแปลกจริงๆ”
ทันทีที่เจฟฟรีย์กำลังจะยื่นมือเข้าไป เสียงชามกระเบื้องแตกก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษ ฉัน...” ไพเพอร์รีบร้อนย่อตัวลงเก็บเศษกระเบื้องที่แตก
เจฟฟรีย์เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปช่วย
ชาร์ลส์เลยจำต้องห่อเนื้อชิ้นนั้นกลับไปใส่ในตู้เย็นตามเดิม แล้วจึงเข้าไปช่วยด้วยอีกคน
เนื่องจากไพเพอร์โดนบาดมือ เธอจึงต้องพัก ทำให้การทำอาหารที่เหลือตกเป็นหน้าที่ของชาร์ลส์กับเจฟฟรีย์
แต่ระหว่างทำอาหาร ชาร์ลส์กลับพบว่าตัวเองทำอะไรไม่เป็นเลย เพราะเจฟฟรีย์เป็นคนจัดการเกือบทั้งหมด
“นายทำอาหารเก่งเหมือนกันนะเนี่ย” ชาร์ลส์พูดติดตลก
เจฟฟรีย์ยิ้มแต่มือก็ยังไม่หยุด
“การเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวมันไม่ง่ายหรอก ลูกสาวผมค่อนข้างซุ่มซ่ามน่ะ”
“อาหารเย็นเสร็จแล้ว ไปเรียกพวกนั้นลงมาสิ!”
ชาร์ลส์กับไพเพอร์เริ่มจัดโต๊ะ และคนข้างบนก็ทยอยเดินลงมาทีละคน
แต่เมื่อทุกคนนั่งประจำที่แล้ว ก็พบว่ามีคนหายไปหนึ่งคน
“ราเชลไปไหนคะ” ไพเพอร์ถาม
แมเดลีนคีบเนื้อชิ้นหนึ่งจากจานยัดเข้าปาก พลางพูดอู้อี้ “ยังอยู่ข้างบนนั่นแหละ ไม่รู้ทำอะไรอยู่”
ชาร์ลส์เป็นคนแรกที่หยิบช้อนส้อมขึ้นมา “ไม่ต้องรอหรอก กินกันเลย”
ในขณะนั้นเอง เสียงรองเท้าส้นสูงก็ดังมาจากบันได... เป็นราเชลนั่นเอง
เธอดูหงุดหงิดแถมยังกลอกตาใส่ “รออีกแป๊บเดียวไม่ได้เลยหรือไงยะ”
“เธอ...” เจฟฟรีย์กำลังจะลุกขึ้น แต่ชาร์ลส์ดึงเขาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้มีเรื่อง
ระหว่างมื้ออาหาร ทุกคนต่างเงียบ
บรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัด
แม้ว่าทุกคนจะรีบกิน แต่แสงข้างนอกก็มืดลงอย่างรวดเร็ว และมันก็ยิ่งมืดลงเรื่อยๆ
ในที่สุด พวกเขาก็มองไม่เห็นแล้วว่ากำลังกินอะไรอยู่
ทันใดนั้น ไฟทุกดวงบนชั้นหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมา ไม่มีใครสังเกตด้วยซ้ำว่าเจฟฟรีย์ลุกจากโต๊ะไปเปิดไฟตั้งแต่เมื่อไหร่
“ที่นี่น่าขนลุกชะมัด ทำไมมืดเร็วจัง”
แมเดลีนเหลือบมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาเพียงหนึ่งทุ่มเท่านั้น
น้ำเสียงของเธอแหลมใสสมวัย ซึ่งดูไม่เข้ากับบรรยากาศที่เงียบสงัดเลย
“เบาเสียงหน่อย” เจอรัลด์ขมวดคิ้วพลางขยับแว่น
“เจ้าของบ้านก็บอกแล้วว่านี่มันฤดูฝน อากาศแปรปรวนเป็นเรื่องปกติ จะตกใจอะไรกันนักหนา”
เจอรัลด์พูดเร็วและน้ำเสียงของเขาไม่เปิดโอกาสให้ใครโต้แย้ง
แม้ว่าอาจจะเป็นนิสัยที่ติดมาจากอาชีพ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้เป็นอย่างไร
เมื่อต้องมาติดอยู่ในบ้านแบบนี้ พวกเขาจะทำอะไรได้นอกจากพยายามปลอบใจตัวเองไปวันๆ
“เฮ้! เธอ!”
เจฟฟรีย์นั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้แล้วเชิดคางไปทางราเชล
“อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องของตัวเอง ต้องดูแลผู้ป่วยด้วย อาหารของผู้ป่วยอยู่ในเครื่องปั่น ไปเอาออกมาซะ”
ราเชลลุกพรวดขึ้นทันที เก้าอี้ครูดกับพื้นจนเกิดเสียงแหลม
“ต้องให้แกมาเตือนฉันด้วยเหรอ”
เธอตักอาหารอย่างกระแทกกระทั้น และก่อนจะขึ้นไปข้างบนก็หันมาถลึงตาใส่เจฟฟรีย์อย่างดุเดือด
“บางคนก็ควรจะสนใจแต่เรื่องของตัวเองนะ!”
เสียงส้นสูงค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับร่างของเธอที่ลับเข้าไปในเงามืดตรงสุดทางบันได
ทุกคนมองตามร่างของเธอที่หายลับไปในความมืด และด้วยเหตุผลบางอย่าง หัวใจของพวกเขาก็บีบรัดขึ้นมาอีกครั้ง
































































































































































































































