บทที่ 7

เมื่อพวกเขากลับมาถึงชั้นหนึ่ง ทุกคนก็ยืนล้อมเรเชลเป็นวงกลมอยู่แล้ว

แสงไฟในห้องนั่งเล่นเป็นสีเหลืองนวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันกลับสาดส่องความรู้สึกเย็นเยียบและน่าขนลุกมายังทุกคน

ทุกคนกำลังรอให้เรเชลพูด แรงกดดันที่มองไม่เห็นและบรรยากาศอันตึงเครียดค้างคาอยู่ในใจของทุกคน

ชาร์ลส์เดินเข้าไป ดึงเก้าอี้มานั่งตรงข้ามเรเชลอย่างสบายๆ

เขาลดเสียงลงและถามอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เรเชล เมื่อกี้คุณบอกว่าคนไข้พูด เขาพูดว่าอะไรเหรอครับ”

เมื่อได้ยินคำว่า “คนไข้” ใบหน้าของเรเชลที่เพิ่งจะมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างก็กลับซีดเผือดอีกครั้ง

เธอบิดม้วนผมสีบลอนด์ของเธอไปรอบๆ นิ้ว ดึงมันอย่างแรงราวกับว่านั่นไม่ใช่ผมของตัวเอง

“ฉัน...ฉันกำลังป้อนอาหารให้เขาอยู่

“แต่ไม่รู้ทำไม ทุกช้อนที่ฉันป้อนเข้าไป เขาก็คายออกมาหมด ฉันคิดว่าเป็นเพราะท่าทางของเขา ฉันเลยป้อนอาหารเข้าปากไม่ได้

“ฉันก็เลยลุกขึ้นเพื่อจะปรับเตียงให้สูงขึ้นอีกหน่อย แต่เสื้อผ้าของฉันถูกกระชากไว้

“ตอนแรกฉันคิดว่ามันไปเกี่ยวเข้ากับเตียง แต่พอหันไปกลับเป็นคนไข้ที่ลืมตาขึ้นมาแล้วคว้าตัวฉันไว้!”

เรเชลพูดทั้งหมดนี้รวดเดียวจบ เธอหอบหายใจอย่างหนัก และมีเส้นผมหลุดออกมาจากนิ้วของเธอ

เจฟฟรีย์ยืดตัวตรงหลังจากได้ยินเช่นนั้น

“คุณตาฝาดไปหรือเปล่า แค่เจ้าชายนิทราพูดได้ก็แปลกพอแล้ว ทำไมคุณไม่เห็นบอกว่าเขาลืมตาแล้วก็คว้าตัวคุณไว้ด้วย”

ชาร์ลส์ขมวดคิ้วและเหลือบมองเจฟฟรีย์ ซึ่งหดคอและเงียบไป

“แล้ว...เขาพูดว่าอะไรเหรอครับ” ชาร์ลส์ถามต่อด้วยเสียงต่ำ

เรเชลสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาของเธอค่อยๆ ว่างเปล่าขณะที่นึกย้อนกลับไป “ตอนนั้นแหละที่ฉันตกใจมากจนทำชามหล่นลงบนพื้น”

“สัญชาตญาณของฉันคือต้องวิ่งหนี แต่เขาแรงเยอะมาก กำเสื้อผ้าฉันไว้แน่นแล้วก็ไม่ยอมปล่อย”

“แล้ว...แล้ว...”

เจอรัลด์ขมวดคิ้วมุ่นและเร่ง “แล้วยังไงต่อ เขาพูดว่าอะไร”

เรเชลเงยหน้าขึ้นและจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง

“เขาบอกให้ฉันออกไป! ออกไป ออกไปให้พ้น!”

แสงฟ้าแลบวาบขึ้นมาส่องให้เห็นใบหน้าด้านข้างของเรเชลที่กำลังยิ้มอย่างน่าขนลุก

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นนอกบ้าน

แมเดลีนตกใจจนลุกพรวดขึ้นยืน เก้าอี้ล้มลงกระแทกพื้นเสียงดังโครม

“ให้ตายสิ ฟ้าร้องได้จังหวะพอดีเป๊ะเลย”

เสียงฟ้าร้องกลบเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ของเรเชล และไม่มีใครสังเกตเห็นสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ลงของเธอ

ชาร์ลส์เดินไปที่หน้าต่าง ที่ซึ่งเม็ดฝนและสายลมทำให้หน้าต่างสั่นสะเทือนเสียงดังลั่น

เขาแง้มหน้าต่างออกเล็กน้อย ลมหนาวก็พัดกรูเข้ามาในห้อง ทำให้ม่านปลิวไสวราวกับธง

“ฤดูฝนมาถึงแล้ว”

เขาก้มหน้าลงและเริ่มกัดเล็บ สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้น

‘จะเป็นคำทำนายได้หรือเปล่านะ แต่ทำไมล่ะ’

ก่อนหน้านี้ ระหว่างที่พูดคุยกับทุกคน ชาร์ลส์พบว่าแต่ละคนได้รับจดหมายเชิญให้มาที่นี่

แต่กระดาษโน้ตสีเขียวอ่อนที่มีข้อความปัจฉิมลิขิตนั้นมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้รับ

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น ชาร์ลส์เลือกที่จะเก็บความลับนี้ไว้กับตัวเอง

เมื่อมองกลับไปยังกลุ่มคนที่กำลังกระซิบกระซาบกัน เขาก็ปิดหน้าต่างดังปังและลงกลอนด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ พรุ่งนี้ให้คนอื่นดูแลคนไข้แทน บางทีเขาอาจจะแค่ไม่อยากให้เรเชลป้อนอาหารให้”

“พรุ่งนี้เช้า ปั่นอาหารให้ละเอียดขึ้นอีกหน่อย คนไข้จะได้ทานง่ายขึ้น”

“พวกคุณตัดสินใจเรื่องการจัดห้องกันได้หรือยังครับ”

คำถามของชาร์ลส์ทำให้กลุ่มที่กำลังถกเถียงกันอยู่ถึงกับชะงัก

หลังจากเหตุการณ์ในคืนนี้ ไม่มีใครอยากนอนคนเดียวในห้องอีกแล้ว

เอมิลี่ตัวสั่นพลางเขย่าแขนแมเดลีน “แมเดลีน ฉันขอนอนกับเธอได้ไหม ฉันกลัว”

ทุกคนเคยเห็นห้องพักกันมาแล้ว แม้จะเป็นเตียงเดี่ยว แต่ก็ใหญ่พอสำหรับผู้หญิงสองคนจะนอนด้วยกันได้

แต่แมเดลีนมองไปที่ไปเปอร์อย่างลำบากใจเล็กน้อย เพราะทั้งสองสนิทกันมาตั้งแต่บนเรือ

ไปเปอร์เหลือบมองเรเชล แล้วเดินเข้าไปตบมือของแมเดลีนเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอก เธออยู่กับเอมิลี่เถอะ เดี๋ยวฉันนอนห้องเดียวกับเรเชลเอง”

แต่เรเชลกลับหันหลังให้และตอบอย่างเย็นชา “ฉันไม่อยากนอนเตียงเดียวกับคนแปลกหน้า”

เมื่อเห็นดวงตาของไปเปอร์แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนก็ยิ่งงุนงงกับพฤติกรรมของเรเชลมากขึ้นไปอีก

พายุข้างนอกไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบลง

ในค่ำคืนอันมืดมิดและบ้านที่ไม่คุ้นเคย ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างคอยจับจ้องทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา

บทก่อนหน้า
บทถัดไป