บทที่ 1 การเชื่อฟังโดยไม่มีเงื่อน

แสงไฟห้องผ่าตัดเหนือศีรษะสาดส่องเป็นสีขาวสว่างจ้า

“เราควบคุมการเสียเลือดได้แล้วค่ะ!”

เสียงเคร่งเครียดของพยาบาลดังก้องขณะที่โซอี้ คิง ยืดตัวขึ้นในที่สุด แผ่นหลังของเธอชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หน้ากากอนามัยทิ้งรอยแดงลึกไว้บนใบหน้า แม้แต่นิ้วมือที่กำคีมจับเส้นเลือดก็ยังสั่นเทาเล็กน้อย

ผู้ช่วยรีบซับเหงื่อที่ขมับของโซอี้

“คุณหมอคิงคะ การผ่าตัดตับบางส่วนครั้งนี้ไร้ที่ติเลยค่ะ การตัดเนื้อตับทำได้สมบูรณ์แบบมาก!”

โซอี้ฝืนยิ้มอย่างอ่อนล้า วางเครื่องมือลง แล้วหันหลังเตรียมออกจากห้องผ่าตัด

นี่เป็นการผ่าตัดตับที่ซับซ้อนเคสที่สามของโซอี้ในวันนี้ กินเวลารวมกันถึงห้าชั่วโมง เมื่อเหลือเพียงขั้นตอนการเย็บปิดแผล โซอี้จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ช่วยได้ เธอเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดแรง

โซอี้ลากเท้าหนักๆ เข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า โทรศัพท์ของเธอในล็อกเกอร์สั่นขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อ “เอลล่า” บนหน้าจอ หัวใจของเธอก็กระตุกวูบ เธอลังเลใจก่อนจะกดรับสาย

เสียงเย็นชาของเอลล่า แอนเดอร์สัน ดังลอดผ่านปลายสาย

“โซอี้ กลับบ้านเดี๋ยวนี้ อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ”

ยังไม่ทันที่โซอี้จะได้ตอบกลับ สายก็ถูกตัดไปอย่างกะทันหัน

กลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนกึก แต่เสียงไร้ความรู้สึกของเอลล่ายิ่งทำให้โซอี้หายใจหอบถี่

เธอรู้ดีว่าทุกคำสั่งของเอลล่าต้องได้รับการปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข เหมือนที่เป็นมาตลอดสิบกว่าปี

โซอี้กำโทรศัพท์แน่นขณะยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงพยาบาล ภาพคนไข้ที่เลือดไหลไม่หยุดระหว่างการผ่าตัดเมื่อห้าชั่วโมงก่อนแวบเข้ามาในหัว เสียงเบรกรถดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเธอ—รถที่เอลล่าส่งมารอรับจอดอยู่ตรงหน้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเอลล่าให้คนมาเฝ้ารอเธออยู่ก่อนแล้ว

คนขับลดกระจกลงแล้วพยักหน้าให้โซอี้ การเร่งรัดแบบเงียบๆ นี้ทำให้โซอี้ต้องรีบก้าวเท้าเร็วขึ้น เธอฉลาดพอที่จะเดาได้ว่าทำไมเอลล่าถึงรีบร้อนอยากเจอเธอนัก

รถแล่นไปอย่างราบรื่นบนถนนกว้างขวาง เบาะหนังนุ่มสบายไม่ได้ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าของโซอี้ได้เลย เธอหลับตาลง แต่ความทรงจำกลับถาโถมเข้ามา ตั้งแต่การเข้ามาอยู่ในครอบครัวแอนเดอร์สันในวัยรุ่น จนกระทั่งแต่งงานกับทายาทอย่างแอนดรูว์ แอนเดอร์สันเมื่อสามปีก่อน ช่วงเวลาแห่งการถูกปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วนได้ทิ้งเงาทะมึนไว้ในชีวิต แต่เธอก็ได้แต่เก็บงำความขมขื่นไว้เงียบๆ

แววตาของคนขับที่มองผ่านกระจกมองหลังดูเหมือนอยากจะเตือนเธอถึงพายุที่กำลังจะมาถึง แต่เขาก็ยังคงเงียบ และเร่งความเร็วพารถมุ่งหน้าไปยังชานเมืองพร้อมกับโซอี้

โซอี้หลับตาลง เอนหลังพิงเบาะเพื่อพักสายตา

แต่ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นอีกครั้งก็ปลุกเธอให้ตื่น เธอเปิดตาขึ้นมาเห็นชื่อ “อลิซ เบเกอร์” บนหน้าจอ

“ฮัลโหล...”

“โซอี้ ยินดีด้วยนะ!”

เสียงร่าเริงของอลิซทำให้โซอี้สับสน

“อลิซ เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ”

“สามีเธอกำลังจะกลับมาวันนี้แล้วนะ เธอจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว!”

เสียงของอลิซเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่โซอี้กลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก เธอพูดอย่างเนือยๆ ว่า “แอนดรูว์จะกลับมาเหรอ ตลกน่า เขาไปสร้างชื่อเสียงโด่งดังอยู่ซีกโลกโน้น ป่านนี้คงลืมบ้านไปแล้วมั้ง...”

“โซอี้! นี่มันเป็นข่าวใหญ่มาทั้งวันแล้วนะ เธอไม่รู้เลยเหรอ”

อลิซขึ้นเสียงสูง โซอี้รู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย

“วันนี้ฉันผ่าตัดไปสามเคส เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่มีเวลาดูข่าวหรอก”

“เขา... แอนดรูว์ไม่ได้บอกเธอเหรอ”

อลิซถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เธอพยายามจะปลอบใจโซอี้แต่ก็หาคำพูดที่เหมาะสมไม่เจอ หลังจากเงียบไปสองสามวินาที เธอก็พูดขึ้นว่า “บางทีเขาอาจจะอยากเซอร์ไพรส์เธอก็ได้นะ...”

อลิซรู้ดีว่าโอกาสที่แอนดรูว์จะมาเซอร์ไพรส์โซอี้นั้นน้อยเต็มที เสียงของเธอก็แผ่วลง โซอี้เองก็ไม่เชื่อว่าแอนดรูว์จะพยายามมาเซอร์ไพรส์เธอเหมือนกัน แต่ถ้าแอนดรูว์กลับมาแล้วจริงๆ คำสั่งของเอลล่าที่ให้เธอกลับไปที่คฤหาสน์แอนเดอร์สันในวันนี้ก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมา

โซอี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเธอก็สังเกตเห็นสายตาของคนขับรถในกระจกมองหลัง ที่แสร้งทำเป็นไม่เหลือบมองเธอ ภาพสะท้อนทำให้สีหน้าของเขาพร่ามัว แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงการจับตามองอย่างเงียบๆ

โซอี้ตื่นตัวขึ้นมาทันที ปลายนิ้วของเธอเย็นเฉียบ “อลิซ ฉันเหนื่อยหน่อยนะ เดี๋ยวค่อยโทรกลับ”

โดยไม่รอคำตอบ โซอี้รีบวางสายและเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า

ในรถกลับสู่ความเงียบ มีเพียงเสียงยางรถยนต์ที่บดไปบนถนน

โซอี้มองทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไปนอกหน้าต่าง พลางปะติดปะต่อเรื่องราวในใจอย่างรวดเร็ว โทรศัพท์เร่งด่วนของเอลล่า รถที่จอดรอ... ทุกอย่างดูสมเหตุสมผลไปหมด เธอถอนหายใจเบาๆ เจือด้วยความเข้าใจอันขมขื่น... เอลล่ากระตือรือร้นที่จะพาเธอกลับไปที่คฤหาสน์แอนเดอร์สัน ดูเหมือนว่าสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ได้มาถึงแล้ว

โซอี้เอนหลังพิงเบาะอีกครั้ง ดูเหมือนกำลังพักผ่อน แต่ใบหน้าของแอนดรูว์กลับผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหล่อเหลา อ่อนโยน และเฉยเมย...

เมื่อรถชะลอความเร็วจนหยุดนิ่ง ก็มาจอดอยู่หน้าคฤหาสน์แอนเดอร์สันแล้ว

โซอี้เงยหน้ามองตัวอาคารผ่านกระจก หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ก้าวลงจากรถ

เสียงประตูเหล็กที่ปิดลงดังก้องไปตามโถงทางเดิน โซอี้เดินผ่านโถงทางเดินที่กั้นด้วยฉากกั้น ได้ยินเสียงเครื่องกระเบื้องกระทบกันเบาๆ ขณะที่เอลล่ากำลังชงชาอยู่ในห้องนั่งเล่น

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ชุดเครื่องแบบสีกรมท่าของวีด้าก็บาดตาของเธอ สาวใช้คนที่เธอไล่ออกไปเพราะขโมยเครื่องประดับ ตอนนี้กลับมายืนอยู่ด้านหลังเอลล่าอย่างนอบน้อม

“คุณผู้หญิงแอนเดอร์สันกลับมาแล้วค่ะ”

วีด้าเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน เอื้อมมือจะไปหยิบกระเป๋าของโซอี้

โซอี้มองวีด้าอย่างระแวดระวัง ถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่พูดอะไร

วีด้าเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ ก็ถอยกลับไปอยู่ข้างๆ เอลล่า

เอลล่าถือถ้วยชา แว่นตากรอบทองของเธอเลื่อนลงมาอยู่ที่ปลายจมูก สายตาแหลมคมราวกับมีดผ่าตัด

“อธิบายมาสิว่าทำไมเธอถึงไล่วีด้าออก”

นิ้วของโซอี้บีบแน่นขึ้น สายกระเป๋าหนังจิกลงบนฝ่ามือจนเจ็บ เธอคาดว่าหัวข้อสนทนาจะเป็นเรื่องการกลับมาของแอนดรูว์ แต่คำถามแรกของเอลล่ากลับเป็นเรื่องของวีด้า

วีด้าเสยผมอย่างผู้มีชัย เผยให้เห็นต่างหูมุกที่เธอสวมอยู่ ซึ่งเป็นคู่ที่หายไปของโซอี้

มันเป็นของขวัญจากแอนดรูว์ในวันเกิดปีแรกหลังแต่งงาน ไม่ใช่แบรนด์หรู แต่เป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่แอนดรูว์เคยมอบให้เธอ พร้อมสลักอักษรย่อชื่อของเธอไว้ด้านใน

“คุณผู้หญิงแอนเดอร์สันกล่าวหาว่าดิฉันขโมยของของท่านค่ะ”

น้ำเสียงของวีด้าจงใจลากยาว ดวงตาเต็มไปด้วยความยั่วยุ

โซอี้จ้องวีด้าอย่างเย็นชา รู้สึกถึงความอยุติธรรมอย่างสุดซึ้ง เธอรู้ว่าวีด้ามีเอลล่าหนุนหลัง แต่การต้องเผชิญหน้ากับการลำเอียงอย่างโจ่งแจ้งของเอลล่าก็ช่างขมขื่น

เสียงหึ่งๆ ของเครื่องปรับอากาศส่วนกลางพลันดังเสียดแก้วหู โซอี้เดินเข้าไปหาวีด้า สีหน้าของเธอเย็นเยียบ

“เดือนที่แล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้านเพิ่มขึ้นสามเท่า เธอเบิกของถูกๆ ว่าเป็นผักนำเข้า แถมยังสะเดาะตู้เซฟของฉันอีก เธอจะปฏิเสธได้ไหมว่าไม่ได้แตะต้องของของฉัน รวมถึงเอกสารฉบับนั้นด้วย”

เอลล่าคนถ้วยชาในมือเบาๆ เสียงของเธอนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยนัย “แล้วหลักฐานล่ะ”

วีด้าสูดจมูกได้จังหวะพอดี เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกจากกระเป๋าขึ้นมาซับน้ำตา “คุณนายเอลล่าคะ คุณนายต้องให้ความเป็นธรรมกับดิฉันนะคะ ดิฉันอยู่กับตระกูลแอนเดอร์สันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าดิฉันภักดีแค่ไหน”

ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น แววตาฉายประกายร้ายกาจวาบหนึ่ง “แต่บางคนกลับไปค้างอ้างแรมนอกบ้าน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม...”

โซอี้ปวดหัวตุบๆ ความสงบเยือกเย็นที่เธอมักจะรักษาไว้ได้เสมอในห้องผ่าตัดแทบจะแหลกสลาย วีด้ากำลังพูดถึงเธอ ที่ออกไปช่วยชีวิตคนไข้โคม่าที่โรงพยาบาลทั้งคืน!

หัวใจของโซอี้ดิ่งวูบลงไปในห้วงเหวอันเยียบเย็น เธอพูดอย่างจริงจัง “เอลล่าคะ คุณให้วีด้ามาคอยรับใช้ฉัน ก็เพื่อจับตาดูฉันทุกฝีก้าวใช่ไหมคะ ไม่มีความจำเป็นเลยจริงๆ”

เสียงดังตุบ! เกิดขึ้นเมื่อเอลล่าวางถ้วยชาลงบนโต๊ะกาแฟไม้มะฮอกกานีอย่างแรง “กล้าดียังไง! ที่แอนดรูว์ไม่อยู่ ฉันจัดคนไปดูแลเธอก็เพื่อตัวเธอเอง ป้องกันไม่ให้เธอไปทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงให้ตระกูลแอนเดอร์สัน”

เอลล่ายืนขึ้นแล้วเดินมาหาโซอี้ “พรุ่งนี้วีด้าจะกลับไปรับใช้เธอที่อพาร์ตเมนต์ มีอะไรให้รีบรายงานฉันทันที”

แม้สายตาของเอลล่าจะจับจ้องอยู่ที่โซอี้ แต่คำพูดของเธอตั้งใจจะสื่อถึงวีด้า “ค่ะ คุณนาย” วีด้าฉีกยิ้มประจบประแจงทันทีแล้วยื่นมือออกไปประคองเอลล่า

อารมณ์ของโซอี้แปรเปลี่ยนเป็นพละกำลังที่ปลายนิ้ว ขณะที่เธอบีบสายกระเป๋าถือไว้แน่น เธอมองตรงไปยังเอลล่า “เอลล่าคะ ฉันเป็นภรรยาของแอนดรูว์และเป็นหมอ ที่คุณว่าค้างคืนนอกบ้านคือการช่วยชีวิตคนอยู่ที่โรงพยาบาล คุณเองก็เคยเป็นหมอ น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีไม่ใช่เหรอคะ”

เอลล่าหัวเราะเย็นชา “โซอี้ อย่าลืมสิว่าถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรารับเธอมาเลี้ยงดูหลังจากพ่อแม่เธอตายแล้วก็ส่งเสียให้เรียน เธอจะมีชีวิตสุขสบายอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง”

เอลล่าวางมือลงบนไหล่โซอี้อย่างแรง “ยิ่งไปกว่านั้น การได้แต่งงานกับแอนดรูว์ถือเป็นบุญของเธอแล้ว ตระกูลแอนเดอร์สันไม่ต้องการให้เธอทำงานหาเงิน ในเมื่อเป็นภรรยาของแอนดรูว์ เธอก็ควรจะอยู่บ้านเรียนจัดดอกไม้ เรียนมารยาท แล้วก็ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”

จริงอยู่ที่หากไม่มีตระกูลแอนเดอร์สันรับเลี้ยง ชีวิตของโซอี้อาจจะลำบากกว่านี้ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะแผนการที่คิดคำนวณมาอย่างดีในตอนนั้น เธอก็คงไม่สูญเสียพ่อแม่และกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องอาศัยชายคาคนอื่นอยู่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ “บ้าน” ที่เธออยู่มานานกว่าสิบปีหลังนี้ โซอี้ก็ไม่อยากจะอยู่ต่อแม้วินาทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงการทำหน้าที่อะไรนั่นเลย

โซอี้หันขวับ ส้นสูงของเธอเสียดสีกับพื้นหินอ่อนจนเกิดเสียงแหลมแสบแก้วหู ขณะที่เธอเปิดประตูไม้แกะสลัก ร่างของเธอก็ปะทะเข้ากับแผงอกแกร่ง

กลิ่นโคโลญจ์ซีดาร์จางๆ ลอยเข้าจมูก เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยซึ่งแอนดรูว์ใช้เป็นประจำ แต่กลิ่นที่คุ้นเคยนี้บัดนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนเข็มนับพันทิ่มแทงหัวใจ เธอรีบถอยหลังกรูด แก้มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แม้แต่ใบหูยังแดงก่ำ—เธอไม่ได้ใกล้ชิดเขาแบบนี้มานานมากแล้วจนทำอะไรไม่ถูก

โซอี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไหล่ของแอนดรูว์ตั้งตรง สันกรามยังคงคมคายเช่นเคย เหนือขึ้นไปคือดวงตาคู่นั้นที่อ่อนโยนทว่าเย็นชาในความทรงจำของเธอ บัดนี้กำลังมองมาที่เธอพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่จริงใจ

แอนดรูว์! เขากลับมาแล้วจริงๆ

แอนดรูว์เดินเลี่ยงเธอราวกับเป็นของสกปรกพลางปัดรอยยับบนเสื้อสูท น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยราวกับกำลังพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ "รีบร้อนอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นที่นี่"

โซอี้มองแอนดรูว์ สังเกตว่าเขาดูผอมกว่าในรูปตามพาดหัวข่าว เป็นเพราะอาหารต่างบ้านต่างเมืองไม่ถูกปาก หรือว่าเขายุ่งจนไม่มีเวลาดูแลสุขภาพตัวเองกันแน่

"แอนดรูว์! ฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน!" น้ำเสียงของเอลล่าอ่อนลงทันที ความเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้หายไปสิ้น เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผลักโซอี้ไปด้านข้างแล้วคว้าแขนของแอนดรูว์ไว้พลางสำรวจมองเขา

วีด้าฉวยโอกาสนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแสร้งทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ "คุณแอนดรูว์ แอนเดอร์สัน กลับมาแล้วเหรอคะ! คุณโซอี้กล่าวหาว่าดิฉันขโมยเครื่องประดับของเธอแล้วก็ไล่ดิฉันออกค่ะ!"

สายตาของแอนดรูว์เหลือบไปมองต่างหูมุกบนติ่งหูของวีด้า เขายังจำชื่อที่สลักไว้ด้านในได้ มันเป็นของขวัญวันเกิดที่เขาเลือกให้โซอี้อย่างส่งๆ ทว่าเขาก็เพียงแค่เหลือบมองมันก่อนจะหันไปหาโซอี้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ถ้าวีด้าชอบ ก็ยกต่างหูให้เธอไปสิ"

โซอี้เงยหน้าพรวด จ้องมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ สำหรับแอนดรูว์ ต่างหูคู่นี้อาจเป็นแค่ของไร้ค่า แต่สำหรับโซอี้ มันคือของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่เขาเคยให้เธอ! "แอนดรูว์ คุณให้ฉันมานะ..."

น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย พยายามจะปลุกเร้าความใส่ใจจากเขาสักนิดก็ยังดี "ก็แค่ต่างหู"

แอนดรูว์พูดตัดบท ความรำคาญฉายชัดในน้ำเสียง "โซอี้ เธอเป็นภรรยาของฉัน ถ้าไม่มีน้ำใจแม้แต่เรื่องแค่นี้ คนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้"

น้ำตาคลอหน่วยในดวงตาของโซอี้ เธอถอยหลังตามสัญชาตญาณจนเผลอชนเข้ากับชั้นวางของเก่าข้างหลัง แจกันกระเบื้องใบหนึ่งร่วงหล่นลงสู่พื้น แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

"แจกันใบนั้้นเป็นของรักของหวงที่สุดของคุณท่านแอนเดอร์สันเลยนะคะ!" วีด้าอุทาน

แอนดรูว์พูดขัดขึ้น "นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอ ออกไปได้แล้ว"

เขาเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟา วีด้าเมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเก็บกวาดเศษกระเบื้องแล้วล่าถอยออกไป

เมื่อเห็นแอนดรูว์นั่งลง เอลล่าก็กลับไปนั่งที่โซฟาเช่นกัน พร้อมทั้งรีบรินชาที่ชงใหม่ๆ ส่งให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ "แอนดรูว์ ครั้งนี้ลูกจะอยู่ถาวรเลยใช่ไหมจ๊ะ"

แอนดรูว์รับถ้วยชามา นิ้วของเขาไล้ไปตามผิวถ้วยอุ่นๆ สายตากลับไปจับจ้องที่โซอี้อีกครั้ง "ผมวางแผนว่าจะลงหลักปักฐานที่นี่"

โซอี้ตัวแข็งทื่อ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง "คุณว่าอะไรนะคะ"

เธอนึกถึงคำพูดของอลิซที่ว่า "ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงานและความรัก" เธอไม่ได้อ่านข่าวใหญ่โตพวกนั้น แต่ข่าวลือในแวดวงสังคมก็มีให้ได้ยินอยู่ถมไป แอนดรูว์กำลังรุ่งโรจน์อยู่อีกฟากของโลก ไม่เคยขาดแคลนผู้หญิงข้างกาย และหลังจากที่แอนดรูว์ไปได้ไม่นาน เอมิลี่ จอห์นสัน ผู้หญิงคนโปรดของเขาก็ตามไปอยู่ต่างประเทศด้วย แล้วเขาตัดใจกลับมาที่นี่ได้อย่างไร

เอลล่าวางถ้วยชาลง ดูเหมือนจะพูดกับโซอี้แต่ก็พูดให้แอนดรูว์ได้ยินด้วย "แอนดรูว์ของแม่เก่งจะตายไป บริษัทการลงทุนของเขาไม่เพียงแต่ขยายไปต่างประเทศ แต่ยังเข้ามาตีตลาดในประเทศด้วย ตอนนี้แม่ก็หวังแค่ให้เขาได้แต่งงานกับภรรยาที่เหมาะสมจริงๆ แล้วก็มีทายาทสืบสกุล..."

ในที่สุดโซอี้ก็เข้าใจ เธอมองคนสองคนตรงหน้าแล้วรู้สึกถึงความหนาวเหน็บเสียดกระดูก มีดผ่าตัดของเธอสามารถเย็บตับที่ฉีกขาดได้ แต่กลับไม่สามารถซ่อมแซมชีวิตแต่งงานที่เต็มไปด้วยรอยโหว่นี้ได้เลย เธอสร้างปาฏิหาริย์บนโต๊ะผ่าตัดได้ แต่ในคุกที่เรียกว่าตระกูลแอนเดอร์สันแห่งนี้ เธอกลับไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะพูดเพื่อตัวเอง

บทถัดไป