บทที่ 3 บทที่ 2 กลับบ้าน
บทที่ 2 กลับบ้าน
เมื่อรู้สึกถึงสายลมกรรโชกแรก และเสียงฟ้าร้องคำราม หลินซือเหยาที่ยืนอยู่ในเรือนเพียงลำพังก็ค่อย ๆ ถอดอาภรณ์ที่ชายหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่าสามี เคยมอบให้ออกทีละชิ้น ทีละชิ้น หญิงสาวเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิมที่นางเคยสวมใส่เมื่อยามมาที่มิติแห่งนี้เป็นวันแรก
ชุด
ธรรมดา
ๆ
ไม่ได้เลิศหรูอะไร
แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อตัวนางและมิติในอดีต
ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรหรือใครที่นางรักอีกแล้ว
นางก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไป
หัวใจที่โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้วในยามนี้ หญิงสาวเดินฝ่าลมฝนออกไปยังบ่อน้ำเบื้องหน้า
ดวงตาไม่รักดีเผลอเหลือบมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยของสามีของนางที่ยามนี้มีคนอื่นเคียงข้างกาย เขายืนประคองสตรีอีกคนแนบแน่นราวกับนางเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต
ซือเหยายิ้มจาง ๆ ยามนี้นางไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาห่วงใยหรือใส่ใจอีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นเมื่อสบตากับสายตาที่เมินเฉยของเขาเพียงชั่วอึดใจ หัวใจที่นางเคยคิดว่ามันไร้ความรู้สึกแล้วก็กลับเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย
“ยังจะโง่ไม่เลิกอีก” นางบ่นว่าหัวใจของตน ที่มันเจ็บปวดกับท่าทางของสามี แต่ความลังเลก็หายไปเมื่อเสียงฟ้าร้องดังลั่น เหมือนเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างพร้อมแล้วกับการจากไป
ทันทีที่ฟ้าผ่ากระทบผิวน้ำซ้ำ ๆ หญิงสาวก็กระโจนลงไปในบ่อน้ำอย่างไม่ลังเล
เสียงน้ำแตกกระจายดังไปทั่ว บ่าวไพร่ที่อยู่แถว ๆ นั้น พากันแตกตื่นเมื่อเห็นพระชายาของจวนกระโดดน้ำ
“พระชายากระโดดบ่อน้ำไปแล้ว” หลายคนตะโกน หลายคนต่างกระโดดตามลงไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบอะไร
แม้เรื่องราวดูจะวุ่นวายแต่ชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีกลับไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ราวกับเรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ในเมื่อนางไม่จำเป็นกับเขาอีกแล้ว เพราะเขามีคนที่รักอยู่ข้างกายอยู่แล้ว
เขาทำเพียงกระชับอ้อมแขนรั้งตัวคนรักของเขาให้แนบเข้ามาแน่นขึ้น ก่อนจะก้มมองหญิงสาวในอ้อมกอดด้วยสายตาอ่อนโยน ราวกับเสียงโวยวายด้านนอกไม่มีความหมายใด ๆ
“เข้าไปในเรือนกันเถอะ นางก็คงแค่เรียกร้องความสนใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันไปสั่งบ่าวคนสนิท “ให้คนไปงมขึ้นมา หากตายก็ทำพิธีให้ หากอยู่ก็จับนางขังเอาไว้กับสาวใช้ที่ไม่รู้จักดูแลนายหญิงตนให้ดี”
หลี่อวิ้นรุ่ยปรายตามองไปที่บ่อน้ำเพียงชั่วครู่ เขาเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ว่าซือเหยาไม่ใช่คนจากแคว้นอื่นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่นางมาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งที่ใดนั้นเขาหาใส่ใจไม่ นางคงน้อยอกน้อยใจที่เขาให้ความสำคัญกับหวังอีเหมยมากกว่านาง หึงหวงที่เขาแต่งคนที่เขาหมายปองมาเนิ่นนาน
ช่างเถอะ เมื่อนางคิดได้คงกลับมาเอง ซือเหยารักเขา อย่างไรนางก็ไปจากเขาไม่ได้หรอก
สาวใช้ที่หลบอยู่ที่พุ่มไม้ใกล้ ๆ ถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยินคำนั้นของนายท่าน
“พระชายา” นางอยากเข้าไปช่วย แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เป็นจริงอย่างคำของพระชายาว่า หากนางยังอยู่ก็จะเป็นอันตราย แม้จะเจ็บปวดใจที่ต้องทิ้งไป แต่สุดท้ายก็หันหลังและหนีออกจากจวนไปพร้อมหัวใจที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
วันเวลาผ่านไปไม่มีข่าวคราวใดของพระชายา หญิงสาวหายไปอย่างไร้ร่องรอย ร่างไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็หาไม่พบ แต่กลับไม่ได้มีใครสน เพราะนางไม่ได้มีตระกูลสูงส่งใดหนุนหลัง คนที่รู้จักก็เพียงแค่ในจวนเท่านั้น
สาวใช้ที่พยายามสืบข่าวทำได้แต่จากไปอย่างเงียบ ๆ และตัดใจไม่เข้าไปวุ่นวายใกล้ ๆ จวนแห่งนั้นอีก
“พระชายา…ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จะจากไปแล้ว หรือได้กลับไปยังที่ที่ท่านจากมา ก็ขอให้ท่านอยู่อย่างดีและมีความสุขด้วยเถอะนะเจ้าคะ” ป้ายไม้ที่ถูกปักลงกับพื้น ไม่มีชื่อไม่มีแซ่ มีเพียงกระดาษเผาไปให้คนที่อยู่ห่างไกล ที่ยังคงลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ
กลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่วทั้งกระท่อมไม้ไผ่ เสียงน้ำเดือดปุด ๆ ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หลินซือเหยารับรู้ได้ถึงผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมร่างของนางเอาไว้
แม้หัวจะยังรู้สึกปวด และลมหายใจก็ยังติดขัด แต่นางยังไม่ตาย มิหนำซ้ำ หญิงสาวค่อย ๆ กวาดตามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นบรรยากาศที่ไม่ได้แตกต่างไปจากยุคที่นางหนีสามีมาก็ถึงกลับถอนหายใจ
หญิงสาวเห็นชายคนหนึ่ง ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หน้าเตาไฟ ดวงตาคมของเขาจดจ้องอยู่ที่หม้อยา มือข้างหนึ่งคอยคนส่วนผสมในหม้อ อีกข้างก็คอยหยิบสมุนไพรใส่ลงไปอย่างชำนาญ
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ยังเป็นแบบจีนโบราณ ยิ่งทำให้ใจของซือเหยาห่อเหี่ยวลงไปอีก นี่ไม่ใช่บ้านของนาง และยังไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ดวงตาของนางเหม่อลอย ความเสียใจเข้าควบคุมร่างกายจนมันอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงไปหมด
แม้ที่นี่จะไม่ใช่จวนของสามีที่ทอดทิ้งนาง แต่ก็ไม่ใช่บ้านของนางอยู่ดี
“เจ้าฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มหันกลับมาเห็นก็เร่งเดินเข้ามาหา” ชายหนุ่มวางไม้ที่ใช้คนหม้อยาลงก่อนจะลุกแล้วเดินตรงมาหานาง ทันทีที่เห็นว่าหญิงสาวพยายามจะขยับลุกขึ้นเขาก็จะเข้าไปประคอง แต่หญิงสาวกลับสะดุ้งเล็กน้อย จนชายหนุ่มจำต้องหดมือกลับ ไม่ใช่เพราะความเสียดายแต่อดตำหนิตนเองไม่ได้ที่ไม่ระวังท่าทางตน
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นหมออยู่ที่หมู่บ้านนี้ นามไป๋อวิ๋น”
หลินซือเหยาจ้องมองไปที่เพดานไม้ไผ่ของกระท่อมเล็ก ๆ ดวงตาของนางแห้งผาก ราวกับต่อมน้ำตาของนางเหือดแห้งไปหมดแล้วหลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมา
ความเงียบงันของค่ำคืนในป่า แตกต่างจากความเงียบของจวนโหวโดยสิ้นเชิง หากเป็นที่นั่น ทุกย่างก้าวของนางมีแต่สายตาเย็นชาจับจ้อง ทุกคำพูดของนางเต็มไปด้วยคำดูแคลน แม้แต่น้ำเสียงของสามี ก็มักจะราบเรียบ ไร้อารมณ์ ไม่มีความรัก ไม่มีความอาทร
แต่นี่เป็นความเงียบที่นางไม่คุ้นเคย เป็นความเงียบที่กว้างขวางเกินไป ปลอดโปร่งเกินไป แต่กลับเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างในหัวใจ
มือของนางกำผ้าห่มที่ปกคลุมร่างแน่น หัวใจที่ควรจะแข็งแกร่งกลับบีบรัดแน่นจนหายใจลำบาก นางไม่รู้ว่าควรยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
‘ไม่มีใครตามหาข้า… ไม่มีใครแม้แต่จะเสียใจที่ข้าหายไป…’
ใช่แล้ว พวกเขาไม่เคยต้องการนางตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะในฐานะภรรยา ในฐานะพระชายา หรือแม้แต่ในฐานะคนคนหนึ่ง นางก็เป็นเพียงเงาที่ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่
นางไม่ได้หวังให้สามีรัก แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง เขาจะปล่อยให้นางจมหายไปในบ่อน้ำโดยไม่แม้แต่จะมองย้อนกลับมา แม้เพียงเสี้ยววินาที
นางหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เจ้ารู้สึกเช่นไร”
เสียงของไป๋อวิ๋นทำให้นางสะดุ้ง นางหันไปมองเขา ดวงตาของนางไม่มีแววแห่งความหวังหลงเหลืออีกต่อไป มีเพียงความว่างเปล่าที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งดวงตาคู่นั้น
“ข้า… ยังมีชีวิตอยู่หรือ” นางถามเสียงแผ่ว
ไป๋อวิ๋นมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางซีดเซียว อ่อนแอ ราวกับเพียงสายลมพัดผ่านก็สามารถปลิวหายไปได้ในทันที แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจมากกว่า คือแววตาของนาง
เขาเคยเห็นคนบาดเจ็บหนัก เคยเห็นคนที่สิ้นหวัง แต่ไม่เคยเห็นดวงตาคู่ไหนที่แห้งผาก ไร้ซึ่งน้ำตาเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าความเสียใจของนางลึกเกินกว่าจะร้องไห้ออกมาได้อีกแล้ว
“เจ้ารอดมาได้” เขาตอบ “และตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“ปลอดภัย…” นางพึมพำ “ข้าควรรู้สึกยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่หรือ”
ไป๋อวิ๋นเงียบ เขาไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น
ความปลอดภัยอาจมีอยู่ในทางกายภาพ แต่มิใช่ในหัวใจของนางอย่างแน่นอน หลินซือเหยาเบือนหน้าหนี ดวงตาของนางเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง มองดูสายลมที่พัดใบไม้ไหว
“บางที… ข้าไม่ควรรอด”
ไป๋อวิ๋นขมวดคิ้วแน่น เขามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบรัดโดยไม่รู้ตัว
สตรีนางนี้… ผ่านอะไรมาบ้างกันแน่
