บทที่ 6 บทที่ 6
“นายคิดว่าฉันจะทำอะไรดลลดา เหมือนในหนังที่มีพระเอกทารุณโหดเหี้ยม ชอบทำร้ายนางเอกงั้นเหรอ ฮ่ะ ฮ่ะ นายมันดูหนังมากเกินไปเจ้าชาร์ล นายแค่ทำตามฉันบอกก็พอ เรื่องอื่นฉันจัดการเอง” ชวนนท์หัวเราะกับความคิดน้องชาย เขายังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น เพียงแต่ถ้าดลลดาเป็นอะไรกับนายดิรกจริง เขาอาจจะใช้ให้เธอช่วยพาตัวนายดิรกมาให้เขาเท่านั้นเอง
ชลาทิศมองพี่ชายนิ่งๆ อย่างพยายามอ่านใจให้ออก เขารู้ว่าถึงแม้ชวนนท์จะเป็นคนเคร่งขรึม เย็นชา และอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่พี่ชายเขาก็มีจิตใจดี ไม่ได้มีใจคอโหดเหี้ยม แต่ชลาทิศไม่ลืมคิดว่า ชวนนท์จะร้ายกาจเพียงใด ถ้าเขาจะร้ายขึ้นมาจริงๆ แต่ในเมื่อชวนนท์ตัดสินใจทำแล้ว เขาซึ่งเป็นน้องชายก็ไม่สามารถขัดได้ อย่าว่าแต่พนักงานในออฟฟิศที่มักจะเกรงกลัว “เทพบุตรซาตาน” เลย แม้แต่เขาเองก็อดกลัวไม่ได้
“ตกลงครับ ผมจะทำตามที่พี่สั่ง ต้องการเมื่อไหร่”
“ฉันให้เวลา 2 วัน”
“ได้ครับ”
ชลาทิศคว้าซองเอกสารทั้งสองซองขึ้นมาถือเอาไว้ แล้วทำท่าจะหมุนตัวเดินกลับ
“มัวแต่เฝ้ามอง โดยไม่จู่โจมซะบ้าง ระวัง ม.ค.ป.ด. นะ”
คำเตือนนั้น ทำให้คิ้วเข้มของชลาทิศขมวดมุ่น ก่อนสะบัดหน้ากลับไปมองพี่ชาย ชวนนท์ยักไหล่
“ฉันก็แค่ เป็นห่วงนายในฐานะพี่ชาย กุหลาบแสนสวยก็ต้องมีหมู่ภมรที่หวังจะดอมดม ถึงแม้ดอกกุหลาบรอคอยที่จะเบ่งบานต้อนรับภมรตัวเดิม ที่เคยโฉบเฉี่ยวไปดอมดม แต่อยู่ๆ ภมรตัวนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไป เมื่อถึงเวลาดอกกุหลาบจะต้องเบ่งบานให้ภมรเชยชม ก็คงไม่พ้นภมรตัวอื่นเป็นแน่แท้” ชวนนท์ ก้มหน้าลงเหมือนจะใส่ใจในเอกสารตรงหน้าเสียเต็มประดา แต่ปากก็เอื้อนเอ่ยออกไป เหมือนกำลังพูดอยู่คนเดียว ไม่ใส่ใจคนรอบข้าง
ชลาทิศกระตุกยิ้มที่มุมปากลึก เมื่อรู้ว่าเรื่องราวของตนเอง ผู้เป็นพี่ชายคงล่วงรู้หมดทุกเรื่อง เพียงแต่ชวนนท์เลือกที่จะพูดหรือไม่เท่านั้น และนี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า “เทพบุตรซาตาน” นั้นรักและใส่ใจผู้เป็นน้องร่วมสายเลือดเพียงใด
ชลาทิศก้าวขายาวๆ ของตน กลับไปที่โต๊ะทำงานพี่ชายอีกครั้ง ก่อนเท้าแขนแข็งแรงของตนบนโต๊ะตัวใหญ่ และเอนตัวไปข้างหน้า จนใกล้ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของชวนนท์
“พี่ก็ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน งานนี้อย่าคอยแต่เตือนคนอื่นเลย ถ้าไม่ชอบคงไม่สืบหาเป็นแน่ หึหึ ดอกไม้กลิ่นหอมกรุ่น กำลังแรกแย้มรอให้ภมรมาเชยชม และภมรตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดคงหนีไม่พ้น หึหึ”
ชวนนท์ช้อนสายตาคมขึ้นมองชลาทิศ เห็นแววตาเป็นประกายวาววับของน้องชาย ก่อนที่ชลาทิศจะหันหลังสาวเท้ายาวๆ จากไป
ปากกาด้ามทองราคาแพง ถูกปล่อยออกจากมือหนา และเจ้าของมือก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลง ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปไม่มีจุดหมาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น 3 ครั้ง ทำให้จิตใจของชวนนท์เข้าสู่สภาวะปกติ
“เชิญ” เขาเปล่งเสียงตอบออกไป แต่ไม่ได้ลืมตาขึ้น เพราะคิดว่าเป็นอรอนงค์ กระทั่ง
“เอ่อ... ดิฉันเอารายงานการประชุมที่แก้ไขใหม่มาให้คุณฌอห์นดูค่ะ” เสียงใสๆ ของดลลดา ทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทเมื่อครู่ต้องปรือตาขึ้นมอง ก่อนจะจับจ้องไปที่ใบหน้าอ่อนใสงดงามสมวัยสาวนั้นนิ่ง... นาน จนสาวน้อยรู้สึกอึดอัด ที่ชายหนุ่มไม่ตอบรับหรือแม้แต่จะหยิบเอกสารที่เธอส่งให้
ชวนนท์กำลังนึกถึงคำพูดของชลาทิศ จริงสินะ ดลลดากำลังเป็นดอกไม้ที่กำลังแรกแย้มเตรียม พร้อมต้อนรับหมู่ภมรมาเชยชม และภมรตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดตอนนี้ก็เห็นจะเป็นตัวเขาเอง “ไอ้น้องตัวแสบ” หัวใจแกร่งของเขากระตุกนิดนึง ก่อนสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกนั้นออกไปโดยเร็ว
ดลลดาเห็นอาการของผู้เป็นเจ้านายแล้วให้สงสัยยิ่งนัก ความใสซื่อทำให้สาวน้อยเอ่ยปากถามเขา
“คุณฌอห์นเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”
ชวนนท์กะพริบตา 2-3 ครั้ง ก่อนตอบ
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร แค่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแค่นั้น ว่าแต่เธอมีอะไร”
“ดิฉันเอารายงานการประชุมที่ได้แก้ไขเสร็จแล้ว มาให้คุณฌอห์นค่ะ”
ชวนนท์รับแฟ้มเอกสารที่หญิงสาวส่งให้ ก่อนเปิดอ่านคร่าวๆ
“อืม... ใครเป็นคนพิมพ์”
“ดิฉันเองค่ะ”
“ใช้ได้ ไม่มีคำผิด”
ดลลดาสงสัยว่าเขาอ่านหรือเปล่า เพราะเธอเห็นเขาเอาไปมองดูนิดเดียวเอง แต่ทำไมถึงรู้ว่าพิมพ์ไม่ผิด ช่างเถอะเขาคงรู้ของเขาล่ะกัน
“ดลลดา เธอมีแฟนรึยัง” จู่ๆ เขาก็ถามคำถามที่หล่อนอึ้ง
“ไม่มีค่ะ” ดลลดาตอบ
ถ้าดลลดาจะสังเกตให้ดี สาวน้อยจะเห็นมุมปากสวยของเขากระตุกขึ้น
“ดี เพราะฉันชอบให้พนักงานตั้งใจทำงานอย่างเดียวในเวลาทำงาน ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องงาน”
คำบอกนั้นทำให้ดลลดาอดไม่ได้ที่จะจ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบ เผื่อว่าบางทีเธออาจจะเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ข้างในใจของเขาบ้างก็ได้ แต่สิ่งที่หล่อนเห็น ก็คือความว่างเปล่า
“ถ้าคุณฌอห์นไม่มีอะไรกับดิฉันแล้ว ดิฉันต้องขอตัว” เมื่อเห็นว่าตนเข้ามานานแล้ว และดูเหมือนเขาจะไม่มีคำสั่งอะไรอีก สาวน้อยก็เลยอยากออกไปให้พ้นจากห้องอันน่าอึดอัดนี่ซะ
“ทำไม เธอต้องทำเหมือนกับฉันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ากลัวขนาดนั้นด้วย”
“เปล่านะคะ เพียงแต่ดิฉันเห็นว่าคุณไม่มีอะไรจะใช้แล้ว ก็เลยคิดว่าควรจะออกไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ”
