บทที่ 3: ดวงตาหิว
มุมมองของเชส
ความเจ็บปวด นั่นคือทั้งหมดที่ผมรู้สึกได้ขณะนอนกองอยู่ตรงตีนบันได ศีรษะปวดตุบๆ เลือดไหลอาบใบหน้า
ภาพที่เห็นพร่ามัว ขอบของทุกสิ่งเลือนหายเข้าๆ ออกๆ ผมกะพริบตาหลายครั้งเพื่อพยายามให้มองเห็นชัดขึ้น แต่ความเวียนหัวกลับยิ่งแย่ลง ชั่วขณะหนึ่ง ผมคิดว่าตัวเองกำลังเห็นภาพหลอน ว่าการตกบันไดทำให้ผมสลบไปและติดอยู่ในฝันร้ายสักอย่าง
บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทุกอย่างมันดู...แปลกๆ ไป
ผมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของสายตาที่จับจ้องมาก่อนที่จะได้เห็นเจ้าของสายตาเสียอีก
นักเรียนคนอื่นๆ รอบตัวผมยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ราวกับกำลังรอคำสั่ง เสียงหัวเราะเมื่อครู่หายไป ถูกแทนที่ด้วยความเงียบอันเย็นเยียบและน่าขนลุกซึ่งทำให้ผมกลัวจับใจ พอผมเงยหน้าขึ้น ก็แทบจะลืมหายใจในทันที ใบหน้าของพวกเขาว่างเปล่า ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก แข็งทื่อไปหมด ดวงตาเบิกกว้าง ไม่แม้แต่จะกะพริบ ราวกับว่าเวลาได้หยุดลง ณ วินาทีนั้น
ผมกะพริบตาอีกครั้ง และเมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ตระหนักได้ว่าทั้งห้องเงียบกริบ นักเรียนทุกคน—ยกเว้นไม่กี่คน—หยุดเคลื่อนไหว ร่างกายแข็งทื่อ สายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่ผมด้วยแววตาที่แปลกประหลาดและน่าอึดอัด เลือดในกายผมเย็นเฉียบ
แล้วราวกับมีใครบางคนไปสับสวิตช์ พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนตัวมาทางผม ช้าๆ ช้าเหลือเกิน ฝีเท้าของพวกเขาไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อนและตื่นตระหนกของฝูงชน ไม่เลย มันเป็นไปอย่างมีลำดับขั้นตอนและจงใจ ราวกับว่าพวกเขากำลังย่องตามล่าผม
“เกิดอะไรขึ้น?” ผมเค้นเสียงแหบแห้งออกมาได้ ปากคอแห้งผาก ผมเช็ดหน้าผาก เลือดบนมือผสมปนเปกับเหงื่อแห่งความสับสนและหวาดกลัว แต่ไม่มีใครตอบผมเลย ไม่มีแม้แต่คำเดียว ไม่แม้แต่เสียงพึมพำ
ผมพยายามจะพยุงตัวลุกขึ้น อาจจะวิ่งหนีด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วร่าง ผมร้องครางออกมาแล้วเอนหลังพิงกำแพงเพื่อทรงตัว ผมรู้ว่าคงหนีจากความบ้าคลั่งนี้ไม่ทันแน่ ทุกอย่างกำลังพังทลายลง และผมไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดเหี้ยอะไรขึ้นกันแน่
บรรยากาศรอบตัวผมอึดอัดตึงเครียด เสียงหัวใจผมเต้นรัวในหู แต่มันกลับถูกกลบด้วยเสียงที่คล้ายกับ...เสียงของนักล่า เสียงขู่ฟ่อ
ตอนแรกมันแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบของอสรพิษ แต่จากนั้นก็ดังขึ้น ชัดเจนขึ้น
สายตาผมกวาดมองจากคนหนึ่งไปยังอีกคน แต่ไม่มีใครดูเหมือนมนุษย์อีกต่อไป ใบหน้าซีดเซียวของพวกเขากลายเป็นบางสิ่งที่บิดเบี้ยว ดวงตาของพวกเขาวาวโรจน์ด้วยแสงสีแดงจางๆ ส่องสว่างตามมุมมืดของโถงบันได พวกเขาไม่ได้แค่กำลังมองผม—แต่กำลังจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างหิวกระหาย ราวกับว่าผมคือเหยื่อ
ผมรู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัดอยู่ในอกขณะดันตัวเองถอยชิดกำแพง ความตื่นตระหนกจุกอยู่ที่ลำคอ “เกิดอะไรขึ้น? พวกแกเป็นบ้าอะไรกันไปหมดแล้ว?” ผมกรีดร้อง แต่พวกเขาก็ยังคงเดินเข้ามา ไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วยเลย ราวกับว่าผมเป็นอากาศธาตุ เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นแค่สิ่งกีดขวางการล่าของพวกเขา
คนอื่นๆ เริ่มเคลื่อนไหว ศีรษะของพวกเขาหันขวับมาทางผมอย่างรวดเร็วและน่าขนลุก พวกเขายิ้มแสยะ เป็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายที่ไม่ไปถึงดวงตา หัวใจผมหล่นวูบเมื่อเห็นดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายสีแดงฉาน สว่างจ้าเหมือนไฟเตือน ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความกลัวสุดขีดจนแทบสิ้นสติ
ดวงตาสีเลือดเหล่านั้นจ้องมองผมอย่างหิวกระหายและดุร้ายป่าเถื่อนเหมือนสิงโต ราวกับว่าพร้อมจะจู่โจมผมในวินาทีนั้น เสียงขู่ฟ่อของพวกเขาทั้งหมดดังประสานกันไปทั่ว
“เชี่ยอะไรวะ...” ผมพึมพำ ความกลัวบีบรัดจนพูดไม่ออก “ใครก็ได้... ช่วยด้วย!”
แต่ในวินาทีนั้นไม่มีใครมาช่วยผมเลย พวกเขาเริ่มกระชับวงล้อมเข้ามา ตอนแรกก็ช้าๆ จากนั้นก็เร็วขึ้น เคลื่อนไหวเหมือนวางแผนกันมาอย่างดี เสียงขู่ฟ่อดังขึ้นเรื่อยๆ น่าเกรงขามมากขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งหมดเคลื่อนเข้ามาพร้อมกัน เหมือนหุ่นเชิดที่ถูกชักใย
ความกลัวมันน่าอึดอัดจนหายใจไม่ออก ผมรู้สึกว่าหน้าอกบีบแน่น เหมือนกำแพงกำลังบีบเข้ามา นี่มันเรื่องจริงเหรอ? เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ งั้นเหรอ? ผมพยายามจะกะพริบตาไล่มันไป แต่มันไม่หายไปไหน นักเรียนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มแสยะของพวกเขากว้างขึ้น ดวงตาเรืองรองด้วยแสงสีแดงผิดธรรมชาตินั่น
ผมตัวงอด้วยความกลัว พยายามเบียดตัวเองให้ชิดกับกำแพงเย็นเยียบด้านหลังให้มากขึ้นไปอีก แต่ไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว ตอนนี้เสียงขู่ฟ่อดังยิ่งขึ้นไปอีก ก้องกังวานไปทั่วบริเวณและสะท้อนอยู่ในหูของผม
ฉันอยากจะกรีดร้องอีกครั้ง อยากจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่เสียงกลับแห้งเหือดอยู่ในลำคอ เลือดบนหน้าผากของฉันเหนียวเหนอะหนะ ไหลอาบลงมาบนใบหน้าราวกับเป็นเรื่องตลกร้าย ชีพจรของฉันเต้นกระหน่ำอยู่ในอก และในอากาศก็มีรสชาติเหมือนโลหะ ราวกับว่ากำแพงพวกนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด
แล้วฉันก็เห็นมัน... กรงเล็บ
นิ้วมือที่แหลมคมและยาวเหยียดงอกออกมาจากมือนักเรียนเหล่านั้น เล็บของพวกเขาสะท้อนแสงวาววับในแสงสลัวราวกับใบมีด พวกมันเคลื่อนไหวอย่างสง่างามแบบนักล่า ขยับนิ้วงองุ้มขณะที่เข้ามาใกล้ขึ้น
ฉันเบียดตัวเข้ากับกำแพงแน่นขึ้น หัวใจเต้นรุนแรงจนเจ็บหน้าอก ความตื่นตระหนกแล่นพล่านไปทั่วร่าง ฉันพยายามเค้นสมองหาทางหยุดฝันร้ายนี้ แต่กลับคิดอะไรไม่ออกเลย
“นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง” ฉันพึมพำอย่างสิ้นหวัง “ฉันคงหัวกระแทกแรงไป... ฉันตาฝาด... นี่เป็นแค่ความฝัน...”
แต่มันสมจริงเกินไป สมจริงเกินกว่าจะเป็นฝันร้าย ทั้งกำแพงเย็นเฉียบที่แผ่นหลัง กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรง และสายตาที่พวกมันจ้องมองมาราวกับนักล่า
“ไม่” ฉันกรีดร้องพร้อมกับส่ายหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติ “เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง!”
ความหวาดกลัวสุดขีดถาโถมเข้าใส่ และฉันก็กรีดร้องอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิมจนเสียงแหบแห้งด้วยความตื่นตระหนก “ใครก็ได้! ช่วยด้วย!” แต่เสียงของฉันกลับจมหายไปในบรรยากาศที่น่าอึดอัด ไม่มีใครขยับมาช่วย ไม่มีใครสนใจเสียงร้องขอของฉันเลย ราวกับว่าฉันอยู่คนเดียว โดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง ถูกรายล้อมไปด้วยอสูรกายที่ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทุกวินาที
ตัวแรกมาถึงตัวฉัน ลมหายใจของมันเหม็นเน่าและหนักหน่วงเหมือนลมหายใจของสัตว์ป่า ตอนนี้ฉันเห็นฟันของมันแล้ว มันแหลมคมและหยักเป็นซี่ๆ ส่องประกายวาววับอยู่ใต้แสงไฟที่ริบหรี่ เสียงขู่ฟ่อดังขึ้นเรื่อยๆ และฉันเห็นน้ำลายไหลย้อยจากปากของมัน ฉันสะดุ้งถอย แต่มันไม่หยุด มันแสยะยิ้ม เผยให้เห็นซี่ฟันน่าเกลียดน่ากลัว และยกมือข้างหนึ่งที่มีกรงเล็บขึ้นมาทางลำคอของฉัน
ร่างกายของฉันสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ฉันหลับตาปี๋ ไม่สามารถทนมองสิ่งที่กำลังจะจู่โจมได้ ฉันคิดว่าฉันกำลังจะตาย ตรงนี้ ในโถงทางเดินที่ราวกับนรกแห่งนี้ แต่แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น
เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าฉัน มันเกิดขึ้นกะทันหัน รวดเร็วจนฉันไม่ทันได้ตั้งตัวหรือเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น วินาทีหนึ่งฉันกำลังจ้องมองดวงตาของอสูรกายนักล่า วินาทีต่อมาก็มีร่างหนึ่งยืนอยู่ระหว่างเรา เป็นเงาดำทะมึน ร่างนั้นขู่ฟ่อกลับใส่นักเรียนพวกนั้นด้วยเสียงคำรามที่ดุร้าย ดวงตาของเขาส่องประกายสีแดงฉานอย่างน่ากลัว นักเรียนพวกนั้นหยุดชะงัก ฝีเท้าของพวกเขาหยุดกึกอยู่กับที่
ฉันแทบจะหยุดหายใจเมื่อร่างนั้น—ซึ่งสูงและดูน่าเกรงขาม—ยืนปกป้องอยู่ข้างหน้าฉัน ขวางทางของเหล่าอสูรกาย ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ นักเรียนพวกนั้นถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างลังเล ราวกับไม่แน่ใจว่าจะโจมตีต่อดีหรือไม่ ร่างนั้นไม่ขยับ ไม่สะทกสะท้าน ราวกับกำลังท้าทายให้พวกมันเข้ามาใกล้กว่านี้
ทีละคน ทีละคน นักเรียน/อสูรกายพวกนั้นเริ่มถอยหนีไปจากเชิงบันได เสียงขู่ฟ่อเงียบลง ถูกแทนที่ด้วยความเงียบอันน่าขนลุก หัวใจของฉันยังคงเต้นระรัวอยู่ในอก แต่ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากร่างที่ช่วยชีวิตฉันไว้ได้ เหมือนมีพลังงานบางอย่างพัดผ่านไปทั่วห้อง ขับไล่พลังมืดที่ครอบงำทุกคนออกไป
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในวินาทีนั้น ฉันรู้ว่าฉันปลอดภัยแล้ว อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ฉันค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น ขาสั่นเทา ศีรษะมึนงง ตัวฉันยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ฉันไม่สนใจมันอีกต่อไป ฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อขอบคุณคนที่ช่วยฉันไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ลำคอของฉันก็พลันแห้งผาก
นั่นคืออเล็กซ์
อเล็กซ์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ระหว่างฉันกับเหล่าอสูรกาย ดูเหมือนเป็นคนละคน ดวงตาสีฟ้าปกติของพี่ชายต่างแม่หายไปแล้ว ตอนนี้มันกลับเปล่งประกายสีแดงฉานเหมือนกับคนอื่นๆ ใบหน้าของเขาสงบนิ่งเกินไป และเขามองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ฉันอ่านไม่ออก
ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เกือบจะเหมือนพึงพอใจขณะที่มองมายังฉัน นี่ไม่ใช่อเล็กซ์คนเดิมที่ฉันเห็นเมื่อเช้า คนที่เมินฉัน คนที่ปล่อยให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน นี่เป็นใครอีกคนโดยสิ้นเชิง
“อเล็กซ์...” ฉันกระซิบ เสียงสั่นเทา เข่าของฉันแทบจะทรุดลงกับพื้น ต้องคว้าจับราวบันไดไว้เพื่อพยุงตัว













































