บทที่ 4: รสชาติของความหวาดกลัว

มุมมองของเชส

ผมส่ายหัวอย่างแรง พยายามปัดเป่าฝันร้ายนี้ออกไป “ไม่... ไม่มีทาง” ผมพึมพำ “นี่ไม่ใช่เรื่องจริง... นายไม่มีตัวตน...”

แต่อเล็กซ์กลับก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น นุ่มนวลและเงียบเชียบราวกับนักล่า

“ถอยไป!” ผมตะโกนพลางถอยหลังกรูดจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับกำแพง “ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือนายเป็นตัวอะไร... แค่ถอยไปให้ห่างจากฉัน!”

หัวใจผมเต้นระรัวในอกเร็วเสียจนนับจังหวะไม่ถูก มันเป็นเสียงกลองป่าเถื่อนที่กลบทุกสิ่งทุกอย่างในจิตวิญญาณของผม

นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีทาง ผมถอยหลังสะเปะสะปะ รองเท้าผ้าใบเสียดสีกับพื้นโถงทางเดินของโรงเรียนที่ขัดมันจนขึ้นเงา ดวงตาของผมจับจ้องอยู่ที่อเล็กซ์อย่างมั่นคงไม่วางตา

รอยยิ้มเยาะของเขาคมกริบ ดุร้ายราวกับสัตว์ป่า เหมือนกับว่าเขากำลังสนุกกับความตื่นตระหนกของผม “นี่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง” ผมเค้นเสียงลอดลำคอ เสียงแตกพร่า “นายไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรจริงทั้งนั้น”

ผมตบแก้มตัวเองแรงๆ ความเจ็บแปลบแล่นปราดขึ้นมาทันที เป็นความเจ็บปวดเจิดจ้าที่ทำให้น้ำตาเอ่อคลอ แต่กลับไม่ช่วยให้ผมตื่นจากฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้เลย ตรงกันข้าม ความเจ็บปวดตุบๆ ที่หน้าผาก ตรงที่หัวผมกระแทกตอนตกบันไดกลับยิ่งร้อนและชื้นแฉะขึ้น

ผมลองแตะดู ปลายนิ้วที่ดึงกลับมาเปรอะเปื้อนสีแดง

เลือด เลือดของผมเอง

ภาพนั้นทำให้ท้องไส้ผมปั่นป่วนจนคลื่นไส้ ผมมองกลับไปที่อเล็กซ์ ภาวนาให้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพหลอนป่วยๆ หรือเป็นแค่หนังสยองขวัญห่วยๆ ที่กำลังจะจบลงในไม่ช้า เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ผมก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร

แต่เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น ที่เชิงบันได ผมสีเข้มของเขาปรกใบหน้าเหมือนรัศมีมืดมิด เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ช้าๆ และจงใจ แล้วรอยยิ้มเยาะนั้นก็กว้างขึ้น “โอ้ เชส” เขาพูด เสียงทุ้มต่ำเกือบจะเหมือนเสียงครางในลำคอ “นี่ไม่ใช่ฝันร้ายหรอกนะ ในที่สุดนายก็ได้ตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริงแล้วต่างหาก”

ลมหายใจของผมสะดุดกึกทันที โลกแห่งความจริง? นั่นมันหมายความว่าบ้าอะไรกัน ผมส่ายหัวพยายามปัดเป่าม่านหมอกแห่งความกลัวที่บดบังความคิด แต่แล้วผมก็เห็นมัน ปากของเขาเผยอออกเล็กน้อย และเขาก็เลียริมฝีปากตัวเอง ภายในนั้น เขี้ยวแหลมคมเป็นประกายสะท้อนแสงไฟฟลูออเรสเซนต์เหนือศีรษะ

เขี้ยว เหมือนกับตัวอะไรสักอย่างในหนังสยองขวัญ หัวเข่าผมอ่อนยวบจนต้องคว้ากำแพงไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปกองกับพื้น “ไม่” ผมกระซิบ เสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ไม่ ไม่ ไม่”

ผมคิดอะไรไม่ออก ผมแค่เคลื่อนไหว ผมก้าวหลบอเล็กซ์ไปด้านข้าง ร่างกายขยับไปตามสัญชาตญาณล้วนๆ แล้ววิ่งสุดฝีเท้าไปตามโถงทางเดินที่ว่างเปล่า ทางเดินทอดยาวไปไม่สิ้นสุด ตู้ล็อกเกอร์กลายเป็นภาพเบลอของสีแดงและสีเทาขณะที่ผมวิ่งเต็มเหยียด ปอดของผมแสบร้อน ศีรษะปวดตุบๆ แต่ผมไม่หยุด ผมหยุดไม่ได้ ผมต้องหนีไปจากเขา จากเขี้ยวพวกนั้น จากเรื่องบ้าๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

นักเรียนคนอื่นๆ พวกที่มีดวงตาเรืองแสงและปากที่ส่งเสียงขู่ฟ่อหายไปแล้ว แต่ผมยังคงได้ยินเสียงกระซิบอันน่าขนลุกและมืดมนของพวกเขาในหัว เหมือนฝันร้ายที่สลัดไม่หลุด

ผมเหลือบมองข้ามไหล่ไป คาดหวังว่าจะเห็นอเล็กซ์ตามมาติดๆ แต่โถงทางเดินกลับว่างเปล่า ความโล่งใจแล่นวาบเข้ามาเพียงชั่วเสี้ยววินาที บางทีผมอาจจะสลัดเขาหลุดแล้ว บางทีเขาอาจไม่ได้ตามมา ผมหันหน้ากลับมา เตรียมจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อหาทางออกและหนีไปจากโรงเรียนประหลาดนี่

แล้วผมก็หยุดกะทันหันจนเกือบจะสะดุดขาตัวเองล้ม

อเล็กซ์อยู่ตรงนั้น ตรงหน้าผมเลย เขายืนพิงตู้ล็อกเกอร์อย่างสบายๆ ราวกับว่ารอผมอยู่ตลอดเวลา เขากอดอก เอียงคอ และรอยยิ้มเยาะบ้าๆ นั่นยังคงประดับอยู่บนใบหน้า เขาไม่แม้แต่จะดูหอบด้วยซ้ำ เป็นไปได้อย่างไร? ผมวิ่งมาเต็มสปีด แต่เขาแค่...ปรากฏตัวขึ้นมา แรงส่งทำให้ผมเกือบจะพุ่งเข้าชนเขา แต่ผมก็เบรกจนตัวโก่งได้ทันเวลาพอดี อกของผมกระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่เป็นจังหวะ

“จะไปไหนเหรอ น้องชาย?” เขาถาม น้ำเสียงเจือความเย้ยหยันและอาจจะมีความโกรธปนอยู่...ผมไม่รู้จริงๆ สิ่งเดียวที่ผมเห็นตรงหน้าคืออสูรกายในคราบมนุษย์

“อย่าเรียกฉันแบบนั้น” ผมตวาดกลับ เสียงสั่นด้วยความกลัวและความโกรธระคนกัน “นายไม่ใช่น้องชายฉัน นายมันตัวประหลาด!”

ดวงตาของเขาหรี่ลง แต่รอยยิ้มเยาะยังไม่จางหาย “โอ๊ย เจ็บนะเนี่ย เชส นึกว่าเรากำลังจะเริ่มผูกสัมพันธ์กันซะอีก”

ผมถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัด “ถอยไปให้ห่างจากฉัน” ผมเตือน แม้จะฟังดูน่าสมเพชในหูของตัวเองก็ตาม หัวของผมหมุนติ้ว ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้คิดอะไรไม่ออก

ฉันต้องออกไปจากที่นี่ ไปหาแม่ บอกแม่ว่าเราคิดผิดที่ย้ายมาเมืองน่าขนลุกนี่ ที่มีแต่คนพิลึกๆ แต่ทว่าอเล็กซ์ขวางทางฉันอยู่ และสัญชาตญาณบางอย่างบอกฉันว่าเขาไม่ยอมให้ฉันเดินหนีไปง่ายๆ แบบนี้แน่

ก่อนที่ฉันจะทันได้ตั้งตัว เขาก็เคลื่อนไหวเร็วกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ วินาทีก่อนเขายังพิงล็อกเกอร์อยู่เลย วินาทีต่อมาเขาก็จับไหล่ฉันเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงแล้ว แรงกระแทกทำฉันจุกจนหายใจไม่ออก ฉันอ้าปากหอบ พยายามดิ้นให้หลุดจากเขา มือของเขาแข็งเหมือนคีมเหล็ก ตรึงฉันไว้กับที่ “อย่าขยับ” เขาพูด น้ำเสียงต่ำและอันตราย ดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบของเขาจ้องลึกเข้ามาในตาฉัน

“ปล่อยนะ!” ฉันกรีดร้อง บิดตัวในอ้อมแขนเขา แต่มันเปล่าประโยชน์ เขาแข็งแรงเกินไป แข็งแรงผิดมนุษย์ หัวใจฉันเต้นรัว เสียงชีพจรดังกระหึ่มในหูอย่างบ้าคลั่ง พออยู่ใกล้ๆ ฉันเห็นโครงหน้าที่คมคายของเขา เห็นดวงตาที่ดูเหมือนจะเรืองแสงจางๆ เหมือนถ่านไฟในความมืด

เขาไม่ใช่มนุษย์ ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวอะไร แต่เขาไม่ใช่มนุษย์

“เชส” เขาเอ่ยชื่อฉัน เกือบจะอ่อนโยน เหมือนกำลังพูดกับสัตว์ที่ตื่นกลัว “เธอต้องใจเย็นๆ”

“ใจเย็นเหรอ” ฉันตวาดกลับ เสียงดังขึ้น “แกมีเขี้ยว ไอ้โรคจิต! แกมันเป็นสัตว์ประหลาด แล้วยังจะให้ฉันใจเย็นบ้าอะไรล่ะ”

เขาหัวเราะหึๆ เป็นเสียงทุ้มต่ำในลำคอที่ทำให้ฉันหนาวสะท้านไปทั้งสันหลัง “สัตว์ประหลาดก็แรงไปหน่อย ว่าไหม ฉันชอบคำว่า...แวมไพร์มากกว่า”

อะ...อะไรนะ

เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ใบหน้าเขาอยู่ห่างจากฉันไม่กี่นิ้ว แล้วฉันก็ตัวแข็งทื่อ ลมหายใจติดขัดในลำคอ สายตาเขาเหลือบไปมองหน้าผากฉัน ตรงที่เลือดยังคงไหลซึมอยู่ข้างใบหน้า แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาเข้มขึ้น รอยยิ้มเยาะจางหายไป กลายเป็นความหิวกระหาย โหดเหี้ยม และอันตรายถึงชีวิต

“อเล็กซ์ อย่า” ฉันกระซิบ เสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร แต่สัญชาตญาณทุกส่วนในร่างกายของฉันกรีดร้องว่ามันเป็นเรื่องเลวร้าย ฉันพยายามจะถอยหนี แต่เขากลับบีบแน่นขึ้น ตรึงฉันไว้กับที่

เขาไม่คิดจะตอบ แต่กลับโน้มตัวมาข้างหน้า และก่อนที่ฉันจะได้ค้าน ลิ้นของเขาก็ตวัดออกมาเลียเลือดจากหน้าผากฉัน สัมผัสนั้นอุ่นและลื่น มันส่งความรู้สึกวาบผ่านร่างฉัน ส่วนหนึ่งคือความขยะแขยง อีกส่วนคือความรู้สึกบางอย่างที่ฉันไม่อยากจะเอ่ยชื่อ

เสียงขู่ฟ่อดังลอดออกมาจากริมฝีปากเขา ต่ำและแหบพร่าในลำคอ ดวงตาของเขาวาวโรจน์เป็นสีแดงฉาน เหมือนหลุดออกมาจากฝันร้าย ชั่วขณะหนึ่ง เขาดูเหมือนกำลังหลงลืมตัว เหมือนรสชาติเลือดของฉันได้ทำอะไรบางอย่างกับเขา

ฉันตัวแข็งทื่อ สมองว่างเปล่าด้วยความหวาดกลัว จบสิ้นกันแค่นี้แล้ว เขาจะฆ่าฉัน ฉีกคอฉัน หรือสูบเลือดฉันจนแห้ง...หรืออะไรก็ตามที่สัตว์ประหลาดอย่างเขาทำ แต่แล้ว ฉับพลันนั้น ดวงตาของเขาก็กลับมาสดใส สีแดงจางหายไปเป็นสีฟ้า เขากะพริบตา เหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ แล้วรีบถอยหลัง ปล่อยฉัน

ฉันไม่ลังเลเลย วินาทีที่มือเขาพ้นจากตัวฉัน ฉันก็พุ่งออกจากตึกทันที

“เชส!” เขาตะโกนไล่หลังมา แต่ฉันไม่คิดจะหันกลับไปมอง ฉันวิ่ง ส้นรองเท้าผ้าใบกระทบพื้นดังตึงตัง หายใจหอบกระเส่า

ภาพทางเดินพร่าเลือนไปรอบตัวฉัน ป้ายทางออกที่ปลายสุดส่องสว่างเหมือนประภาคาร ฉันไม่รู้ว่าอเล็กซ์เป็นตัวอะไร หรือเด็กพวกนั้นที่อยู่ข้างหลังนั่นเป็นใคร แต่ฉันรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ ฉันต้องการแม่ ฉันต้องบอกแม่ว่าเราต้องไปจากเดวิลส์เลค เก็บกระเป๋า แล้วไม่ต้องหันกลับมามองอีก

ประตูบานคู่อยู่ข้างหน้า ฉันพุ่งเข้าชนมันเต็มแรง ทะลุออกไปสู่อากาศเย็นยามบ่ายข้างนอก แสงแดดส่องแยงตา แต่ฉันไม่หยุด

หัวฉันปวดตุบๆ ปอดก็เจ็บไปหมด แต่ฉันยังวิ่งต่อไป โรงเรียนเล็กลงเรื่อยๆ อยู่ข้างหลัง คฤหาสน์มาร์แชลอยู่ไม่ไกล แค่ไม่กี่ไมล์ผ่านตัวเมืองไป ฉันไปถึงได้ ฉันต้องไปให้ถึง

“แม่” ฉันพึมพำกับตัวเองเหมือนสวดภาวนา “ได้โปรดเถอะแม่ เราต้องไปจากที่นี่”

ฉันไม่รู้ว่าเมื่อกี้เห็นอะไร อเล็กซ์ทำอะไรลงไป แต่มันคือเรื่องจริง จริงเกินไป และถ้าเขาเป็นสัตว์ประหลาด แล้วพ่อของเขาเป็นอะไรล่ะ แล้วเมืองบ้าๆ นี่ทั้งเมืองล่ะเป็นอะไรกันแน่

ท้องไส้ฉันปั่นป่วนขณะที่ฉันวิ่งสุดฝีเท้าไปตามทางเท้า หลบผู้หญิงที่กำลังจูงหมาเดินเล่น ไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นจากกลุ่มเด็กที่ขี่จักรยาน สิ่งที่ฉันคิดได้ตอนนั้นมีเพียงอย่างเดียว คือต้องกลับบ้านให้ถึง ไปหาแม่ และเกลี้ยกล่อมให้แม่ยอมหนีไปก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป