บทที่หนึ่ง

“ลุกขึ้น!” เสียงหนึ่งดังมาจากประตูห้องที่ฉันถูกบังคับให้มานอน ทำให้ฉันสะดุ้งพรวดขึ้นมาเร็วเกินไป

ศีรษะฉันหมุนคว้างจากแรงกระแทก

ฉันมองไปรอบๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับความจริงบทใหม่ของตัวเอง

เมื่อวานนี้เองฉันยังเป็นเบต้าหญิงของฝูงลองริเวอร์อยู่เลย แต่ตอนนี้ ฉันกลับกลายเป็นทาสไปเสียแล้ว

ไม่ใช่ทาสของใครที่ไหน แต่เป็นของเจ้าชายแฝดที่น่าสะพรึงกลัวแห่งโคเวนแวมไพร์

“อยากให้ข้าเข้าไปตบกบาลแกในนั้นรึไง ลุกขึ้นมาแต่งตัวได้แล้ว ไม่มีเวลาแล้วนะ! นี่ไม่ใช่ชีวิตหรูหราเหมือนเมื่อก่อนของแก ที่นี่แกเป็นทาส และในเมื่อเลือดของแกมันไร้ค่า แกก็ต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเองด้วยวิธีอื่น เพราะฉะนั้นก็ไสหัวลุกขึ้นมาสิวะ!” แวมไพร์หญิงที่หน้าประตูตวาดใส่ฉัน ดึงสติฉันออกจากภวังค์ได้อย่างชะงัด

เธอดูผอมกว่าที่ใครๆ เขาว่ากัน และฉันก็ได้เจอแวมไพร์ตนอื่นๆ ระหว่างทางมาที่นี่แล้ว เรียกได้ว่าเธอผอมแม้กระทั่งในมาตรฐานของพวกเดียวกันเอง แต่ถึงอย่างนั้นความงามของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย มันเป็นลุคสไตล์โกธิคที่เธอพยายามจะสร้างขึ้นด้วยโคลที่เขียนไว้ใต้ตาและชุดสีดำทั้งตัว ทว่าประกายตาอันชั่วร้ายต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทาง

ฉันไม่ลังเลเลยสักนิด ฉันชินกับการถูกเมทคนเก่าทุบตีทุกครั้งที่เขาขัดใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และก็ได้แต่หวังว่าที่นี่คงไม่เป็นแบบนั้น หมาป่าของฉันไม่ได้อยู่กับฉันอีกต่อไปแล้ว และถ้าฉันเสียเลือดมากเกินไป ฉันคงได้ตายจริงๆ

และฉันได้สัญญากับแม่บนเตียงที่ท่านใกล้สิ้นใจไว้แล้วว่าจะตามหาน้องสาวให้เจอ นั่นคือเหตุผลเดียวที่ฉันยังไม่ไปสมทบกับท่านในโลกหลังความตาย

ฉันลุกขึ้นและรีบสวมเสื้อผ้าที่พวกเขาวางไว้ให้ตรงมุมห้อง

ห้องนั้นเล็ก ทาสีเทาหม่นๆ และมีเฟอร์นิเจอร์เพียงโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้หนึ่งตัว เตียงนอน และตู้เสื้อผ้าที่ใกล้จะพังมิพังแหล่วางอยู่ด้านข้าง

ฉันรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ วักน้ำล้างหน้าและแปรงฟัน

“เร็วเข้าสิ! ข้าไม่มีเวลาทั้งวันนะ!”

เธอหมายถึงทั้งคืนต่างหาก และฉันก็ตระหนักได้ว่าคงต้องปรับนาฬิกาในหัวของตัวเองใหม่ให้เข้ากับพวกเขา

ข้างนอกมืดสนิท มีเพียงแสงไฟดวงเล็กๆ ที่ส่องสว่างอยู่ทั่วพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล พระราชวังแห่งนี้คืออาคารที่สูงที่สุดในอาณาจักรเมืองหลวงของพวกเขา ที่ซึ่งฉันถูกนำตัวมา

ในบรรดาคนทั้งหมดที่จูเลียนจะขายฉันให้ได้ ดันเป็นพวกราชวงศ์แวมไพร์บ้านี่เสียอีก เทพีแห่งดวงจันทร์ช่างทำกับฉันได้ลงคอที่ลิขิตให้เขามาเป็นเมทของฉัน

แต่ฉันชินกับการปรับตัวแล้ว ไม่เคยปล่อยให้เรื่องใดๆ มากระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป เพราะถ้าฉันยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อโศกเศร้าหรือแตกสลาย ฉันอาจจะไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีกเลย

ทุกคืนหลังจากที่เขาทำร้ายฉัน ฉันจะปิดสวิตช์สมองและไม่ยอมคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จะเลือกสร้างเรื่องราวในหัวขึ้นมาเองโดยมีตัวละครที่มีความสุขกว่า และเมื่อไหร่ที่ได้นิยายมาอยู่ในมือนะ...สุดยอดไปเลย!

แต่สุดท้ายเขาก็จะเจอมันจนได้ แล้วก็ทุบตีฉันเพราะมัน ก่อนจะโยนมันทิ้งไป เขาไม่ชอบให้ฉันมีที่พักใจไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม

ฉันเดินตามแวมไพร์หญิงคนนั้นออกจากห้องเล็กๆ พร้อมกับปิดประตูไม้ไว้ข้างหลัง

โชคยังดีที่ฉันยังเป็นมนุษย์หมาป่าอยู่ ถึงแม้ว่าหมาป่าในตัวฉันจะร่วมหัวจมท้ายกับคนอื่นๆ ทอดทิ้งฉันไปแล้วก็ตาม เพราะไม่อย่างนั้นฉันคงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทั้งหมดนี่ไปแล้ว

ที่พักของคนรับใช้อยู่ไกลจากที่ที่ฉันต้องไปทำงานมากเสียจนน่าหัวเราะ

เมื่อเรามาถึงสุดทางเดินอันมอซอ เธอก็เคาะประตูอีกสามบาน ประตูสองบานทางซ้ายเปิดออกแทบทันที พร้อมกับมนุษย์ผู้หญิงสามคนก้าวออกมา

พวกเขาโค้งคำนับให้สตรีผู้เชิดหน้าขึ้นสุด และพวกเราทุกคนก็เดินตามนางออกไปอย่างเงียบงัน

สถานที่ทั้งหมดสว่างไสวขึ้นเมื่อเราเข้าใกล้ปีกอาคารหลักมากขึ้น

ในขณะที่เขตที่พักคนรับใช้ทาสีเทาทั้งหมด มีประตูไม้เรียงรายไปตามทางเดินยาว ส่วนปกติของวังกลับเป็นอาคารหลากสีสันที่ดูมั่นคงปลอดภัย

ประตูเหล็กเป็นมันวาว แสดงให้เห็นว่าเหล่าคนรับใช้ทำงานหนักกันแค่ไหน

ในที่สุด เราก็เริ่มเดินขึ้นบันไดที่หวังว่าจะนำไปสู่ที่ไหนสักแห่งที่ฉันต้องไปทำงาน ฉันอาจจะไม่เหนื่อยกับการเดิน แต่ฉันเบื่อแล้ว ฉันหลบเข้าไปในความคิดตัวเองไม่ได้เพราะที่นี่คือสถานที่แปลกถิ่น ฉันต้องเบิกตากว้างและตื่นตัวอยู่เสมอ เลือดของฉันอาจไม่เป็นที่น่าปรารถนา แต่พวกแวมไพร์ฆ่าใครก็ได้เพียงเพราะอารมณ์ไม่ดี

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เผ่าพันธุ์ของเราไม่ชอบหน้ากัน พวกนั้นหมกมุ่นกับการแสดงอำนาจเหนือกว่าผ่านการฆาตกรรมและการนองเลือด ในขณะที่คนหมาป่าให้ความสำคัญกับเกียรติยศ ออร่า และบางครั้งก็รวมถึงการเจรจาด้วย

แต่เมื่อถึงตาจน เผ่าพันธุ์ของฉันก็ทำให้เลือดไหลนองได้มากเท่าที่จะจินตนาการได้เหมือนกัน เพียงแต่เราเคารพจันทรเทวีและพยายามไม่คร่าชีวิตใครโดยเปล่าประโยชน์

“ถึงแล้ว” แวมไพร์ตนนั้นพูดพลางหยุดที่หน้าประตูอะลูมิเนียมบานใหญ่ที่ดูราวกับกำลังปกป้องคลังทองคำ “ทุกเช้า เจ้าจะต้องเคาะหนึ่งครั้งแล้วยืนรอตรงนี้จนกว่าประตูจะเปิดให้ อุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ถัดไปอีกสองประตู เจ้าต้องทำความสะอาดห้องของพวกเขาอย่างหมดจดทุกวัน ยังไงซะเจ้าก็มีประโยชน์แค่นี้แหละ พวกมนุษย์พวกนี้ยกของห่าเหวอะไรก็ไม่ไหว ข้าจะมาตรวจงานของเจ้าตอนเที่ยงคืน อย่าให้ข้าเจอว่าเจ้าบกพร่องไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม” นางพูดจบก็เริ่มเดินจากไป

วินาทีหนึ่งนางยังอยู่ตรงหน้าพวกเรา อีกวินาทีต่อมา นางก็หายตัวไปแล้ว

ฉันตัวสั่นกับความน่าขนลุกของเรื่องทั้งหมด

“หวัดดี” ฉันทักทายเด็กสาวที่ถูกทิ้งไว้กับฉัน ซึ่งดูเครียดจัด

คนแรกเป็นเด็กสาวร่างเล็กแก้มยุ้ย มองฉันแวบหนึ่งแล้วก็ก้มหน้ามองพื้น ดูเหมือนเธอกำลังพยายามกลั้นเสียงสะอื้นหรืออะไรทำนองนั้น

“ขอโทษนะ พอดีเรากำลังสวดภาวนาให้คืนนี้ไม่ตายอยู่น่ะ” อีกคนพูดขึ้น เธอเป็นเด็กสาวผิวสีคาราเมล มีผมหน้าม้าและกระที่น่ารักสุดๆ

พวกเธอดูแข็งแรงและสวยงาม แต่ดวงตาของพวกเธอกลับฉายแววเศร้าสร้อยอย่างยิ่ง

“ตายเหรอ? ทำไมพวกเธอถึง… อ้อ!” ฉันถึงได้เข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงมาอยู่ที่นี่

เพื่อป้องกันไม่ให้พวกแวมไพร์เปิดเผยตัวตนของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติต่อมนุษย์ สภาเหนือธรรมชาติจึงได้บังคับใช้กฎหนึ่งข้อ ที่จริงแล้วมันเป็นข้อตกลงระหว่างพวกแวมไพร์กับรัฐบาลมนุษย์มากกว่า โดยให้ฝ่ายหลังส่งมนุษย์มาให้พวกแวมไพร์ดูดเลือดแทนการที่พวกนั้นจะออกไปล่าเองข้างนอก

พวกเขาจะขุนมนุษย์ด้วยอาหารบำรุงเลือดเพื่อให้รอดชีวิตไม่ว่าแวมไพร์จะอยู่ในภาวะหิวกระหายระดับไหนก็ตาม

“ฉันเสียใจด้วยนะ” ฉันกระซิบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพักร้อน ฉันน่าจะมีเวลาสามชั่วโมงในการทำความสะอาดห้องให้เสร็จ และถึงแม้จะยังไม่เคยเห็นห้องมาก่อน ฉันก็รู้ว่ามันต้องใหญ่มากแน่ๆ

ดังนั้นฉันจึงทำตามคำสั่งของนาง เดินไปยังประตูที่นางชี้บอก แล้วหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมา

โชคดีที่จูเลียนเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นสาวใช้แทนที่จะเป็นเมทของเขา ฉันก็เลยรู้ว่าต้องทำอะไรที่นี่

จากนั้นฉันก็เดินกลับไป เคาะประตู และเราสามคนก็ยืนตัวตรงขึ้น

แล้วเราก็เริ่มรอ

บทถัดไป