บทที่สอง

ฉันไม่รู้ว่าเรายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ฉันก็เกือบจะเคาะประตูอีกครั้งด้วยความรำคาญ

“อยากตายหรือไง?! ทำบ้าอะไรของเธอ” เด็กสาวร่างเล็กกว่าตะคอกเสียงกระซิบใส่ฉันขณะที่ฉันยกกำปั้นขึ้นอีกครั้ง

“ก็ฉันรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ยินที่ฉันเคาะครั้งแรกนี่นา มันนานมากแล้วนะ” ฉันตอบ พลางสังเกตเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของพวกเธอ

“พวกเขาเป็นแวมไพร์ และได้ยินเสียงเธอแน่นอน ถ้าเธอไปขัดจังหวะไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรอยู่ก็ตามในเวลานี้ มันจะไม่จบสวยสำหรับเธอแน่ สิ่งหนึ่งที่เธอต้องเรียนรู้จากที่นี่คือการทำตามคำสั่ง ไม่อย่างนั้นเธอจะเจอบทลงโทษอีกเยอะ” เด็กสาวร่างสูงผิวคล้ำบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นกว่า

ดูเหมือนว่าเธอจะพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังประตูบานนั้น เพราะเธอไม่ได้มีท่าทีตึงเครียดเหมือนเพื่อนของเธอ

ฉันพยักหน้าแล้วยิ้มให้เธอบางๆ ก่อนจะเอนตัวพิงกำแพงเล็กน้อย วางศีรษะลงบนนั้น แล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไป

มันยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงว่าฉันมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไรตั้งแต่แรก

ย้อนอดีต

หลังจากออกเวรที่โรงพยาบาล ฉันก็รีบกลับบ้านเพื่อเริ่มเตรียมอาหารเย็น

จูเลียนชอบอาหารที่ทำสดใหม่และจะไม่แตะต้องอะไรก็ตามที่ทำทิ้งไว้เกินสามชั่วโมง

ฉันคงจะลาออกจากงานแล้วมาทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและน่าเหนื่อยหน่ายของเขา แต่เขายืนกรานว่าฉันต้องหาเงินเข้าบ้านตามโควตาของตัวเอง ระบบการเงินในสังคมมนุษย์หมาป่าทำงานโดยที่แต่ละคนทำงานหาเงิน แต่จะนำเงินมารวมกันเพื่อใช้จ่ายส่วนรวม ดังนั้น แม้ว่าคุณจะมีเงินส่วนตัวจากเงินเดือนอยู่บ้าง แต่เงินส่วนใหญ่จะถูกส่งไปให้ท่านอัลฟ่า เป็นการแลกเปลี่ยนกับอาหาร เสื้อผ้า และทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการอยู่รอด

ระบบนี้ได้ผลดีมากเพราะมันโปร่งใสจริงๆ และถ้าอัลฟ่าสูญเสียความไว้วางใจจากคนของตน โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว ดังนั้น แต่ละครัวเรือนจึงมีโควตาที่ต้องหามาส่ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอาชีพของเมทฝ่ายชาย

อดีตเมทของฉันเป็นเบต้าเต็มเวลา เขาจึงไม่ต้องจ่ายมากนัก แต่เงินเดือนของฉันที่โรงพยาบาลนั้นเยอะกว่าของเขา

แต่ฉันไม่เคยได้แตะเงินนั้นเลย เพราะมันถูกโอนเข้าบัญชีของเขาโดยตรง ความพยายามทั้งหมดที่จะทิ้งเขาไปมักจะล้มเหลวเพราะสถานการณ์ทางการเงิน และพูดตามตรงว่าการทุบตีคงสร้างความเสียหายอย่างมากต่อสุขภาพจิตของฉัน

ฉันหดตัวเองอยู่แต่ในกะลา และยอมรับทุกอย่างที่เขายื่นให้

ขณะที่ฉันกำลังตักอาหาร เขาก็เดินอาดๆ เข้ามาในบ้านในสภาพเมาแอ๋

ฉันเตรียมใจรับมือ ปฏิเสธที่จะร้องไห้ออกมาแม้จะรู้ว่าคืนนี้คงเป็นคืนที่ยาวนาน เวลาที่จูเลียนเมา เขาจะหงุดหงิดกับทุกสิ่งทุกอย่าง และหมัดของเขาก็มักจะเหวี่ยงมาทางฉันเสมอ

นั่นคือสาเหตุที่ฉันแท้งลูกไปสามครั้ง

เขามาถึงประตูห้องครัวแล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองมาที่ฉัน

“ทำไมกูต้องมาลงเอยกับมึงด้วยวะ? มึงนี่มันไร้ประโยชน์ชะมัด” เขาพูดเสียงอ้อแอ้ ความหงุดหงิดฉายชัด

เขาไม่เคยเหนื่อยที่จะย้ำเตือนว่าเขาอยากแต่งงานกับลูกสาวของอดีตอัลฟ่ามากแค่ไหน และการที่มีฉันเข้ามาทำลายแผนการที่จะได้อยู่กับสุดที่รักของเขาได้อย่างไร

“อาหารของคุณพร้อมแล้วค่ะ” ฉันบอกเขาเสียงแผ่วเบา หวังว่าเขาจะไปนั่งที่โต๊ะแทนที่จะมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ประตูแบบนั้น

เขาไม่ทำ

เขาเดินเข้ามาในครัว แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างแท้จริง

ในเวลาเช่นนี้ ฉันได้แต่สงสัยว่าทำไมหมาป่าในตัวเขาถึงไม่เข้าร่างมาควบคุม นั่นคือเหตุผลที่เอวี่ หมาป่าของฉัน ทิ้งฉันไป เธอโกรธหมาป่าของเขาที่ไม่ทำอะไรเลยเพื่อหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดนี้ เธอจึงเชื่อว่าการหายตัวไปของเธอจะเป็นการลงโทษเขา

แต่ก็นะ สุดท้ายแล้วฉันนี่แหละที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตอนนี้ เพราะหมาป่าของเขาไม่พยายามจะหยุดเขาอีกต่อไปแล้ว

ฉันเกร็งตัวรับแรงกระแทกขณะที่เขากระชากผมฉัน ดึงฉันออกจากเคาน์เตอร์ที่ฉันใช้เป็นที่กำบัง แล้วผลักฉันลงไปกองกับพื้นอย่างแรง

“แกมันไร้ค่า! ไร้ค่าสิ้นดี! ฉันเกลียดแกที่มาพรากความฝันของฉันไป นังสารเลว!” เขาตะคอกพลางเตะร่างฉันไม่ยั้งอย่างไร้ความปรานี

“ฉันขอโทษ” ฉันอ้อนวอนเหมือนเช่นเคย ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

จนในที่สุดเขาก็เหนื่อยที่จะทุบตีฉันและเดินจากไป ฉันยังคงนอนอยู่บนพื้นตรงนั้น รอให้ร่างกายเยียวยาตัวเองสักหน่อยเพื่อที่จะได้ลุกไปจัดหาอาหารให้เขา

ฉันคงจะฟื้นตัวได้เร็วกว่านี้หากฉันไม่ได้เป็นผู้ไร้หมาป่าในตัว และถ้าฉันไม่ได้ ‘รับใช้’ เขาตอนที่เขาเพิ่งออกจากห้องน้ำ... ก็ เรียกได้ว่าคืนนี้ฉันคงได้นอนในคุกใต้ดิน

ฉันพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นไปล้างเลือดที่กำเดาไหลและเปรอะเปื้อนมือออก ล้างจานชามใหม่อีกครั้ง แล้วยกมันออกไป

ทันทีที่อาหารถูกวางลงบนโต๊ะ เขาก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

“ไปแต่งตัวซะ ฉันจะพาเธอไปที่หนึ่ง” เขาสั่งเสียงเฉียบขาด ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง

ฉันงงเป็นไก่ตาแตก จูเลียนไม่เคยพาฉันไปเดตเลย แม้แต่ในคืนที่เราพบกันใต้แสงจันทร์สว่างไสว อันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเป็นคู่แท้ของเรา สิ่งที่เขาทำก็แค่เด็ดดอกไม้ที่ขึ้นอยู่หน้าบ้านเขายื่นให้ฉัน คืนนั้นฉันดีใจสุดขีด แต่แล้วความฝันก็พลันกลายเป็นฝันร้ายในเวลาอันรวดเร็ว

ผ่านมาห้าปีแล้ว เด็กสาววัยสิบแปดที่เคยมีความสุขและไร้เดียงสา บัดนี้ได้กลายเป็นหญิงสาววัยยี่สิบสามผู้สิ้นหวังและซึมเศร้า

ฉันพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องที่เขาจัดไว้ให้ แล้วเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์กับสเวตเตอร์ไหมพรมสีดำ

ฉันมักจะแต่งตัวมิดชิดเสมอ แม้ว่ารอยแผลเป็นบนร่างกายฉันจะมีเพียงรอยเหล็กร้อนจากแร่เงินที่เขาใช้จี้ลงบนแผ่นหลัง ฉันรู้สึกเสมอว่าทุกหมัดทุกการทุบตีที่เขากระทำทิ้งรอยแผลเอาไว้ ฉันจึงมักจะแต่งตัวปกปิดร่างกายเกินความจำเป็นเสมอ

แต่ฉันไม่รู้ว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น และแน่นอนว่าฉันถามไม่ได้ ฉันจึงเลือกชุดที่เรียบง่ายที่สุด

เมื่อฉันลงมาข้างล่าง เขาก็กินเสร็จและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว กำลังยืนรอฉันอยู่

“ขอโทษที่ช้านะคะ” ฉันรีบชิงขอโทษก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปากตำหนิ มันเป็นวิธีหนึ่งที่ฉันเรียนรู้ว่าจะช่วยให้โทษเบาลง

“ไปกันได้แล้ว” เขาสั่ง ฉันรีบวางจานลงในอ่างล้างจานแล้ววิ่งตามเขาไป ไม่อย่างนั้นฉันคงโดนซ้อมอีกเมื่อเรากลับถึงบ้าน เขาพยายามสร้างสถานการณ์แบบนี้ให้ฉันเจออยู่เสมอ

ฉันรีบขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังของรถก่อนที่เขาจะขับออกไป

ขณะที่เขาขับรถออกไป ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาวนาให้ตัวเองโบยบินไปกับสายลมได้ และเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเอง

แต่ฉันต้องทนมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันเหลือเวลาอีกแค่สองปีก่อนจะมีคุณสมบัติพอที่จะสมัครเข้าทำงานในวังหลวง เมื่อไหร่ที่ได้รับเลือก ฉันจะปฏิเสธเขาและหนีไป

จากนั้นฉันก็จะเริ่มตามหาน้องสาวของฉันได้

“ฉันมีเรื่องต้องบอกเธอ” จูเลียนพูดแทรกขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของฉัน และคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันงุนงง

เขาไม่เคยบอกอะไรฉันเลย

“ค่ะ” ฉันตอบกลับไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในสถานการณ์เช่นนี้

“ฉันไปติดหนี้พนันมานิดหน่อย และฉันอยากให้เธอช่วยจัดการให้”

“แต่คุณเอาเงินเดือนฉันไปหมดแล้วนี่คะ แล้วฉันก็ไม่มีเวลาไปหางานอื่นทำด้วย ฉันจะไม่มีเวลาทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน แล้วก็—”

“หุบปาก! เสียงของแกจะทำให้ฉันอยากขับรถคันนี้ลงคูข้างทางให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย!” เขาคำรามใส่ฉัน ทำให้ฉันต้องเงียบปากลงทันที

นั่นเป็นบทสนทนาที่ยาวที่สุดที่ฉันได้คุยกับเขาในรอบสองปีมานี้ ฉันน่าจะคาดเดาได้อยู่แล้ว

“ฉันขอโทษค่ะ” ฉันกระซิบอีกครั้ง เต็มไปด้วยความสมเพชในโชคชะตาของตัวเอง

น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงมาทั้งที่พยายามกลั้นไว้สุดความสามารถ แต่ฉันก็หยิกตัวเองตรงจุดนั้น และแล้วความรู้สึกทั้งหมดก็ค่อยๆ เลือนหายไป

ครู่ต่อมา ขณะที่ยังคงขับรถไปยังที่ไหนสักแห่งที่องค์เทพีเท่านั้นที่รู้ เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“พวกเจ้าหนี้จะบอกเธอเองว่าต้องจ่ายคืนยังไง ทำตัวดีๆ ด้วยล่ะ” เขาพูดจบราวกับว่านั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด

เมื่อเขาขับรถเข้าไปจอดที่คลับหรูแห่งหนึ่งในเมืองถัดไป ฉันก็ถูกลากลงจากรถ เสียงกรีดร้องของฉันถูกอุดไว้ด้วยเศษผ้า และแล้วสติของฉันก็ดับวูบไปในทันที

จบช่วงย้อนอดีต

“มัวเหม่อมองอะไรอยู่รึ แม่สาวน้อย” ฉันได้ยินเสียงหนึ่งปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ และเมื่อลืมตาขึ้น ฉันก็ได้พบกับเทพบุตร

บทก่อนหน้า
บทถัดไป