ช3

มุมมองของเลสเตอร์

อากาศภายในปราสาทอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเหงื่อ มันเกาะติดอยู่ตามผนัง ตามผ้าม่านกำมะหยี่ที่แขวนอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นของพิธีกรรมที่ข้าเพิ่งเข้าไปขัดขวาง

แต่เหนือสิ่งอื่นใด บัดนี้บ้านของข้าอบอวลไปด้วยกลิ่นของเขา... กลิ่นเลือดของมนุษย์ของข้าเอง กลิ่นยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น แทรกซึมเข้ามาในปอดดุจแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ทั้งหนักอึ้งและมอมเมา ย้ำเตือนข้าถึงสิ่งที่ข้าได้ครอบครอง

ข้ายืนอยู่กลางห้องนอนและเหลือบมองเขา “เจ้าชื่ออะไร” ข้าเค้นถาม น้ำเสียงต่ำและคมกว่าที่ตั้งใจ ข้าอยากรู้ชื่อของเขา อยากได้ยิน อยากลิ้มลองว่ามันจะรู้สึกอย่างไรบนปลายลิ้นเมื่อข้าเอ่ยมันเป็นครั้งแรก

“อาร์วิน พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย มนุษย์ผู้นั้นชื่ออาร์วิน มันไม่ยอมพูดอะไรเลย” ทหารยามคนหนึ่งพึมพำขณะยืนอยู่ที่ประตู เฝ้ามองเราอยู่

ข้าโบกมือไล่ทหารยาม รอจนกระทั่งเขาโค้งคำนับแล้วปิดประตูเพื่อให้เราเป็นส่วนตัว ก่อนที่สายตาของข้าจะกลับไปจับจ้องที่มนุษย์ของข้า “อาร์วิน” ข้าพึมพำ น้ำเสียงฟังดูเย้ายวน ขณะที่มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยันที่แทบมองไม่เห็น

พิธีกรรมนั้นควรจะเป็นจุดจบของเขา แต่เขากลับมายืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้อมือถูกพันธนาการด้วยผ้าไหมเนื้อนุ่มซึ่งแทบไม่ได้ช่วยยับยั้งการดิ้นรนของเขาเลย เนื้อผ้าอันบอบบางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ... เหงื่อและเลือดของเขา แต่มันกลับทำให้เขาดูงดงามอย่างยับเยิน

แผงอกของอาร์วินกระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่สม่ำเสมอ ซี่โครงของเขาปรากฏให้เห็นอยู่ใต้เนื้อผ้าที่ขาดวิ่น ผิวของเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยฟกช้ำและเลือดของเขาเอง เป็นเครื่องเตือนใจถึงความพยายามที่จะหลบหนี

เขาอ่อนล้าเต็มที แต่เขากลับไม่ยอมก้มหัว ไม่ยอมอ้อนวอน ตรงกันข้าม เขากลับจ้องมองข้าเขม็งด้วยแววตาที่ลุกโชนดั่งเปลวไฟซึ่งน่าจะมอดดับไปแล้วในมนุษย์คนอื่น แต่เขาไม่เหมือนคนอื่น อาร์วินช่างไร้เดียงสา หลังจากทุกสิ่งที่เขาต้องทนทุกข์ในคืนนี้ มนุษย์ผู้ท้าทายของข้ายังคงคิดว่าตนเองมีทางเลือก

ข้าก้าวเข้าไปใกล้เขาอย่างช้าๆและระมัดระวัง พื้นไม้ลั่นเอี๊ยดใต้ฝ่าเท้า เป็นเสียงกระซิบแห่งการเคลื่อนไหวที่ทำให้ไหล่ของเขาสะท้านเกร็ง เขากำลังพยายามทรงตัว พยายามทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สา แต่ข้าได้ยินเสียงชีพจรที่เต้นสะดุด ผิดจังหวะและบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับลมหายใจที่ติดขัดในลำคอขณะที่ข้าเอื้อมมือไปหาเขา

“เจ้าเงียบมาตลอดเลยนะ” ข้ากระซิบ พลางลากปลายนิ้วไปตามสันกรามคมคายของเขา ความอุ่นจากผิวของเขาช่างขัดแย้งกับความเย็นชาในแววตา “บอกข้าสิ มนุษย์น้อย... กลัวรึ”

ขากรรไกรของเขาขบกันแน่น ข้ารู้ว่าเขาอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าข้า สาดคำสาปแช่งใส่ข้า ทลายความเงียบงันด้วยพิษสงเท่าที่เขาจะสรรหามาได้ แต่น้ำเสียงของเขากลับแผ่วเบาแต่หนักแน่น “ข้าไม่กลัวเจ้า”

คำโกหก คำโกหกที่แสนโอชาและสิ้นหวัง ไพเราะราวกับเสียงดนตรี เป็นเสียงที่ทรงพลังจนแล่นผ่านร่างของข้าและไปถึงส่วนลึกในตัวข้าที่ข้าไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดไปถึงได้อีก ถ้อยคำนั้นกระทบข้าอย่างรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงแรงปรารถนาที่ช่วงขาหนีบ กางเกงหนังของข้าคับแน่นขึ้นเล็กน้อยขณะที่รอยยิ้มของข้ากว้างขึ้นชั่วครู่

ข้าค่อยๆ ลากปลายนิ้วต่ำลงไปตามส่วนโค้งของลำคอ ที่ซึ่งชีพจรของเขาเต้นรัวราวกับนกที่ติดอยู่ในกรงกระดูก มันกระพือปีกอย่างสิ้นหวังแต่ไม่อาจหนีรอดไปได้ “อย่างนั้นรึ” ข้ายิ้มพลางปล่อยให้นิ้วลากต่ำลงไปตามร่างกาย วาดปลายนิ้วเป็นลวดลายอย่างเชื่องช้าบนไหปลาร้าของเขา “แล้วเหตุใดร่างกายของเจ้าจึงทรยศเจ้าเล่า”

ลมหายใจของเขาสะดุด แต่เขาก็ไม่ยอมถอยหนี “เพราะข้าเกลียดแก” อาร์วินเค้นเสียงลอดไรฟัน น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความพยายาม “และข้าจะฆ่าแกทันทีที่มีโอกาส จะควักไส้แกออกมาเหมือนปลาที่สิ้นฤทธิ์ จะเฝ้ามองชีวิตดับสูญไปจากดวงตาของแก เหมือนกับที่แกเฝ้ามองพวกพ้องของข้า ยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ยอมช่วยเหลือ เพียงเพื่อเป็นอาหารให้กับกองทัพของไอ้พวกอมตะชาติชั่ว”

ข้าหัวเราะในลำคอ เสียงที่เล็ดลอดออกมานั้นต่ำและดำมืด เป็นดั่งคำมั่นสัญญาที่ตัวข้าเองก็ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ “ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายามนะ เจ้าตัวน้อย ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายาม”

นิ้วมือของข้าค่อยๆ ลากไล้ขึ้นไปบนผิวที่ร้อนผ่าวของเขาแล้วสอดเข้าไปใต้คาง บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นสบตาข้า ริมฝีปากของเขาเผยอออก ลมหายใจอุ่นๆ รดรินบนผิวของข้า

สายตาของข้าเหลือบลงมองริมฝีปากของเขา อวบอิ่ม เต่งตึงอมชมพูเล็กน้อย เปล่งประกายด้วยพลังชีวิตที่ข้าหลงลืมไปนานแล้วว่าเคยมีอยู่ในตัวเอง

ข้าสามารถลิ้มรสความกลัวของเขาได้หากต้องการ ข้าสามารถกลืนกินและครอบครองมันได้อย่างสมบูรณ์ ข้าสามารถฉีกกระชากเขาให้แหลกสลายและดึงความหวาดผวาออกจากซี่โครงของเขาราวกับถ้วยรางวัล

แต่ข้าต้องการให้เขามอบมันให้ข้าด้วยตัวเอง

“เจ้ายังไม่เข้าใจ” ข้าพึมพำ น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด แม้ว่ามือที่บีบคางเขาอยู่จะยิ่งแน่นขึ้น “แต่เจ้าจะได้เข้าใจ... ในไม่ช้า”

ข้าปล่อยมือจากคางของเขาแล้วถอยหลังออกมาช้าๆ เฝ้ามองอาร์วินที่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง ราวกับว่าสัมผัสของข้าคือสิ่งที่ประคองร่างเขาไว้ตลอดเวลาและเขาเพิ่งจะตระหนักได้ ทว่ากำปั้นของเขายังคงกำแน่น ข้อมือถูกพันธนาการด้วยผ้าไหมอันบอบบาง ทั้งร่างของเขาเกร็งแน่นไปด้วยความตึงเครียดและพลังแห่งความโกรธเกรี้ยวที่ยังไม่ถูกปลดปล่อย

“พักผ่อนซะ” ข้าสั่งพลางชี้ไปยังกรงที่มุมห้องนอนของข้า ซึ่งปูรองด้วยผ้าห่มขนนกอันอบุ่นและอ่อนนุ่มกับหมอนผ้าไหมหนึ่งแถว “พรุ่งนี้ เราจะเริ่มกัน” ข้าเอ่ยเสริมขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกได้ ขณะที่ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อและถอดมันออกจากไหล่

แก้มของอาร์วินก็พลันขึ้นสีชมพูระเรื่ออย่างงดงาม ขณะที่ดวงตาของเขาหรี่ลงมองข้าอย่างเป็นอันตราย “เริ่มอะไร”

ข้าไม่ขยับไปจากจุดที่ยืนอยู่ มองเขาด้วยสิ่งที่ข้าเชื่อว่าน่าจะเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น ขณะที่มือของข้าเอื้อมไปจับเข็มขัดและค่อยๆ ปลดมันออก

ดวงตาของเขายิ่งหรี่ลงอีก และรอยยิ้มของข้าก็กว้างขึ้น คราวนี้มันเจือไปด้วยคำมั่นสัญญาชนิดที่ควรจะทำให้เขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว “บทเรียนของเจ้าไง มนุษย์น้อยของข้า”

เขาไม่ถามว่าข้าหมายความว่าอะไร เขาไม่จำเป็นต้องถามเลย แววตาที่ฉายประกายแห่งความกลัวดิบเถื่อนบอกข้าว่าเขาเข้าใจดีพอแล้ว ความกลัวนั้นทำให้ข้าพึงพอใจ ยิ่งกว่าการที่เขายอมถอยกลับเข้าไปในกรงอย่างเงียบๆ เสียอีก

ข้าหันหลัง ถอดกางเกงออกแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย ยังมีเพียงไม่กี่สิ่งที่ข้ายังคงเก็บไว้จากความเป็นมนุษย์ และเตียงนอนที่แสนสบายก็คือหนึ่งในนั้น ขณะที่ข้านอนลืมตาอยู่ พลางเหลือบมองมนุษย์ของข้าที่หลับใหลอย่างสงบเป็นครั้งคราว ข้าอดแสยะยิ้มไม่ได้

แม้แต่สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดก็ย่อมมีวันแตกสลาย และเมื่อถึงคราวของอาร์วิน เขาจะแตกสลายอย่างงดงาม

บทก่อนหน้า
บทถัดไป