ช4
มุมมองของอาร์วิน
ค่ำคืนทอดยาวออกไป เงียบสงัดและดูเหมือนจะกดทับข้าด้วยน้ำหนักที่เลวร้ายยิ่งกว่าคืนก่อนหน้าพิธีกรรมเสียอีก ข้าไม่รู้ว่าเลสเตอร์หลับไปแล้วหรือยัง เหล่าอมนุษย์รัตติกาลไม่หายใจ แต่ข้าเองก็ข่มตาหลับไม่ลงอีกต่อไปแล้วเช่นกัน
กรงนี้กลับสบายและอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แต่ความสบายนั้นไม่ได้ช่วยให้จิตใจข้าสงบลงเลย ไม่ว่าข้าจะพลิกตัวหรือนอนท่าไหน ก็ข่มตาหลับไม่ลงอีกแล้ว
ผ้าห่มใต้ร่างอบอุ่น อากาศรอบกายก็ดูจะอุ่นเกินไปเสียด้วยซ้ำ ราวกับเจือไปด้วยกลิ่นไวน์เครื่องเทศและบางสิ่งที่ดำมืดยิ่งกว่า บางสิ่งที่ดิบเถื่อนและอันตรายซึ่งคืบคลานอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ข้าตึงเครียดเกินกว่าจะผ่อนคลายและพักผ่อนได้
ข้าโทษว่าเป็นเพราะเลสเตอร์ โทษที่เขายืนอยู่ใกล้กันแค่นี้ ข้าจินตนาการได้เลยว่าเขากำลังรอจังหวะที่จะกระโจนเข้าใส่ จู่โจมข้า และดูดเลือดจนร่างกายข้าแห้งเหือดไร้ซึ่งชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในตอนนี้
และเมื่อราตรีกาลผ่านพ้นไป แต่ละนาทีผ่านไปอย่างทรมาน ในที่สุดข้าก็ตระหนักได้ว่า เขา... กำลังจับจ้องข้าอยู่จริง ๆ ข้ารู้สึกได้ถึงตัวตนของเขาที่อยู่ใกล้ ๆ รายล้อมไปด้วยเงามืด การมีอยู่ของเขาคุกคามอยู่เหนือข้า
ถึงกระนั้น ข้าก็ไม่ยอมให้เขาสมใจด้วยการหันไปมอง
ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในแสงสลัว ข้าบังคับตัวเองให้หยุดนิ่ง ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถ แม้จะรู้ว่าร่างกายของข้ากลับทรยศ ทั้งกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวและลมหายใจที่สั่นไหวเล็กน้อย
เลสเตอร์... ไอ้สารเลวนั่นสังเกตเห็น แน่นอนว่าต้องเห็นอยู่แล้ว เขาสังเกตเห็นทุกอย่าง
“พักผ่อนสบายดีไหม มนุษย์น้อยของข้า” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลดุจกำมะหยี่ เกือบจะฟังดูห่วงใย แต่ก็ยังมีความตึงเครียดและภัยคุกคามซ่อนอยู่ในถ้อยคำเรียบง่ายนั้น
ข้าแค่นเสียงในลำคอ และในที่สุดก็หันหน้าไปจ้องเขาเขม็ง “แล้วมันสำคัญด้วยหรือ”
เขาหัวเราะเบา ๆ และก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าและเปี่ยมไปด้วยจุดมุ่งหมาย ราวกับว่าเขากำลังสนุกกับเกมที่ไร้กฎเกณฑ์นี้เกินกว่าที่ควร “ก็สำคัญกับเจ้าเท่านั้นแหละ” เขาตอบอย่างราบรื่น
ข้าขยับตัวต้านพันธนาการจากผ้าไหม ข้อมือข้าปวดร้าวจากหลายชั่วโมงที่ข้าพยายามทดสอบขีดจำกัดของมัน พยายามที่จะเป็นอิสระ มันไม่ขยับเขยื้อนราวกับกุญแจมือเหล็ก แต่ก็ไม่บาดผิวเหมือนโซ่ตรวน
และไม่รู้ทำไม นั่นกลับให้ความรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่า มันราวกับว่าพันธนาการอันบอบบางและนุ่มนวลนี้กำลังเยาะเย้ยข้า ให้ตายสิ กรงนี้ ห้องบ้า ๆ นี่ทั้งห้องกำลังเยาะเย้ยข้าอยู่
ไม่มีกำแพงหินเย็นเฉียบ ไม่มีห้องขังชื้นแฉะ หรือซี่กรงเหล็กหยาบกระด้าง แต่ข้ากลับถูกขังอยู่ในความหรูหรา ผ้าห่มนุ่ม ๆ รองอยู่เบื้องล่าง หมอนไหมที่แทบจะกลืนกินข้าไปทั้งตัว กองไฟที่ลุกโชนเบา ๆ ในเตาผิง ทอดเงาอันนุ่มนวลอ่อนโยนไปตามผนังที่แกะสลักด้วยเงินและทอง ช่างน่าขันจริง ๆ ที่ข้ากลายเป็นนักโทษในกรงกำมะหยี่
หลังจากความเงียบอันน่าอึดอัดและตึงเครียดผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดข้าก็เอ่ยปากขึ้นโดยหลีกเลี่ยงที่จะมองไปทางเขา “ท่านบอกว่าเราจะเริ่มกันวันนี้ มันหมายความว่ายังไงกันแน่”
น้ำเสียงของข้าแข็งกร้าว แต่ก็ยังมีความสั่นเครือเจืออยู่ และข้าเกลียดที่มันทำให้ข้าฟังดูอ่อนแอ ไม่มั่นคง เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่รอชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต
เลสเตอร์ก้าวเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ฝีเท้าของเขายังคงเชื่องช้าและสง่างาม เป็นเครื่องย้ำเตือนอีกครั้งว่าเหล่าอสูรร้ายสามารถดูสูงส่งราวกับพระเจ้าได้เพียงใดในสายตาของเหยื่อ
เมื่อเขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูกรงของข้า เลสเตอร์มองลงมายังข้า มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย “มันหมายความว่า... ข้าจะสอนเจ้า”
ข้าเค้นเสียงเยาะหยันออกมา “สอนอะไรข้า”
เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ แล้วลากเก้าอี้เข้ามาใกล้กรงของข้า ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งอย่างระมัดระวัง เขาทำท่านั่งอยู่ตรงหน้าข้าราวกับว่าเขาเชื่อจริง ๆ ว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เขามองข้าราวกับนักล่าที่กำลังมองสิ่งที่มันได้อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของแล้ว
ผิวของข้าชาวาบภายใต้สายตาที่พินิจพิเคราะห์ของเขา เขาใช้เวลาอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ความเงียบงันทอดยาวอยู่ระหว่างเรา ดูดซับความตึงเครียดนั้นราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทะนุถนอมอย่างสุดซึ้ง
“การยอมจำนน” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น
คำพูดนั้นลอยค้างอยู่ในอากาศชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ข้าราวกับพิษที่สาดใส่หน้า ร่างกายของข้าแข็งทื่อไปตามสัญชาตญาณ ข้าไม่ยอมถอยและคำรามใส่เขา “ท่านกำลังเสียเวลาเปล่า”
เขายิ้มเยาะ เอื้อมมือไปหยิบแก้วที่บรรจุของเหลวสีแดงซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ข้าไม่ทันสังเกตเห็นก่อนหน้านี้ เลสเตอร์แกว่งของเหลวในแก้ว สูดดมกลิ่นของมันราวกับเป็นของล้ำค่า ก่อนจะจิบอย่างช้า ๆ แล้วกระซิบกับขอบแก้ว “เราจะได้เห็นกัน ข้าว่าเราทั้งคู่คงต้องขอบคุณที่ข้ามีเวลาเหลือเฟือ”
นิ้วมือของข้ากำเข้าหากันเป็นหมัด เล็บจิกลงไปในฝ่ามือ ข้าเกลียดสิ่งนี้ การรอคอย การทำลายการควบคุมตนเองของข้าอย่างช้า ๆ และยืดเยื้อ เลสเตอร์ไม่ได้เรียกร้องให้ข้ายอมแพ้ ไม่เลย... เขาหยอกล้อมัน เย้าแหย่ขอบเขตที่เปราะบางอยู่แล้ว และเฝ้าดูว่าข้าใกล้จะขาดสติเพียงใด
ข้าอยากจะต่อสู้กับความอยุติธรรมนี้อย่างสุดหัวใจ ข้าอยากจะถ่มน้ำลายใส่เขา ถ่มใส่ใบหน้าที่ยิ้มเยาะนั่น กรีดร้อง และอาละวาดใส่เขา แต่ไม่รู้ทำไม ข้าถึงยังไม่ทำ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
เลสเตอร์เอียงคอเล็กน้อย ศึกษาข้าราวกับว่าเขามองเห็นสงครามที่กำลังต่อสู้อยู่ในหัวของข้า “บอกข้ามาสิ” เขากระซิบ พร้อมกับวางแก้วลงจนเกิดเสียงกระทบเบา ๆ อย่างจงใจ “อะไรคือสิ่งที่เจ้ากลัวอย่างแท้จริง”
ริมฝีปากของข้าเผยอออก แต่ข้ายั้งตัวเองไว้ได้ทันก่อนจะพูดออกไป ข้าจะไม่ให้เขาสมใจด้วยคำตอบที่แท้จริง ข้าจึงสูดลมหายใจเข้าแล้วพึมพำคำโกหกผ่านไรฟัน “ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปากของเขาค่อย ๆ แย้มออกช้า ๆ ราวกับว่าเขามองทะลุคำโกหกของข้าได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมชีพจรของเจ้าถึงเต้นดังขนาดนั้นล่ะ”
สายตาที่ข้าจ้องมองเขาควรจะเป็นการเตือนให้เขาถอยห่าง แต่เขากลับโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใกล้เสียจนข้าได้กลิ่นตัวเขา กลิ่นจาง ๆ ของโลหะที่ซ่อนอยู่ใต้กลิ่นไวน์เครื่องเทศ กลิ่นที่ทำให้ข้านึกถึงอำนาจเก่าแก่และบางสิ่งที่ดำมืดยิ่งกว่าซ่อนอยู่ภายใต้
“เจ้ายังคิดว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้” เขากระซิบ “ว่าเจ้าเป็นฝ่ายกุมไพ่เหนือกว่า”
ข้ากัดฟันกรอด “ข้าไม่ใช่ของของท่าน”
เขาหัวเราะ เสียงนั้นทุ้มต่ำ ดำมืด และขบขัน “โอ้ มนุษย์น้อยของข้า” เลสเตอร์สอดมือเข้ามาในกรง นิ้วของเขาลูบไล้ไปตามด้านในข้อมือของข้า เหนือบริเวณที่พันธนาการผ้าไหมอยู่เล็กน้อย “เจ้าจะต้องเป็น และไม่ต้องห่วง ข้ายังไม่อยากให้เจ้ายอมแพ้ในตอนนี้ จงต่อต้านข้าทุกย่างก้าวเถิด มนุษย์น้อยของข้า ต่อต้านข้าราวกับว่าชีวิตของเจ้าแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะท้ายที่สุดแล้ว การทำลายเจ้าให้แหลกสลายจะหอมหวานยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าต่อต้านข้า”








































































































































































































