ช5

มุมมองของเลสเตอร์

อาร์วินเอาแต่จ้องข้าเขม็ง ก็ช่างปะไร ข้าไม่สนใจอยู่แล้ว

ข้าเอื้อมมือไปที่ประตูรงและแง้มมันออกเสียงเอี๊ยด ยืดตัวยืนเต็มความสูงแล้วคำราม “ออกมา”

น่าแปลกใจที่เขารีบเผ่นออกมา... ดูหวาดกลัวงั้นหรือ น่าสนใจ...

เขายืนขึ้น ยืดตัวตรงอยู่เบื้องหน้าข้า ยืนตัวแข็งทื่อ ลมหายใจติดขัดไม่สม่ำเสมอ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยแรงที่ใช้สะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอง อาร์วินไม่พูดอะไร แต่ข้าเห็นสงครามภายในใจที่สะท้อนออกมาทางดวงตาของเขา

อาร์วินปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง เขาปฏิเสธต่อตัวเองและต่อข้า ว่ามีความปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ใต้ผิวหนัง เป็นที่แน่ชัดว่ามนุษย์ตัวน้อยผู้พยศของข้าจะไม่มีวันยอมรับว่าความปรารถนานี้เป็นของตนเอง เขาจะเอาแต่โทษข้าต่อไป โกหกตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าข้าจะทลายทุกส่วนเสี้ยวในตัวเขาที่เชื่อว่าตนเองเกิดมาเพื่อต่อต้านข้าเท่านั้น

ให้ตายสิ ความพิศของเขามันช่างงดงามเหลือเกิน เปราะบาง ดื้อด้าน และสวยงาม... จนน่าโมโห

ข้าเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เดินวนรอบตัวเขาราวกับนักล่าที่กำลังลิ้มรสช่วงเวลาก่อนจู่โจม ข้าจงใจเข้าใกล้จนเกินพอดี กดดันเขาด้วยตัวตนของข้า และเมื่อโน้มตัวเข้าไป ลมหายใจของข้าก็เป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างผิวของเขา เขาสั่นสะท้าน เพียงแผ่วเบา แต่ข้าก็สังเกตเห็น “เจ้าจะแสร้งทำต่อไปก็ได้ แต่ร่างกายของเจ้ากำลังบอกในสิ่งที่ริมฝีปากเจ้าไม่ยอมพูด”

ขากรรไกรของเขาเกร็งแน่นขณะที่นิ้วมือม้วนเข้าหากันเป็นกำปั้นที่สั่นเทา “เจ้าคิดว่าเจ้ารู้จักข้าดีนักรึ” อาร์วินถ่มคำพูดราวกับยาพิษ “เจ้าไม่รู้อะไรเลย”

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังครืนอยู่ในอกข้า “โอ้ แต่ข้ารู้ ข้ารู้ว่าชีพจรของเจ้าเต้นรัวยามที่ข้ายืนใกล้เกินไป ข้ารู้ว่าลมหายใจของเจ้าสะดุดเมื่อปลายนิ้วข้าสัมผัสผิวเจ้า”

ข้ายกมือขึ้น ใช้นิ้วไล้ไปตามแนวไหปลาร้าของเขา สัมผัสเพียงแผ่วเบา พอที่จะเฝ้ามองร่างกายของเขาทรยศตัวเอง เขาตัวแข็งทื่อ และสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงซึ่งเขาพยายามซ่อนไว้ใต้ความเกรี้ยวกราด แต่ข้ารู้สึกได้

“เจ้าเกลียดสิ่งนี้” ข้าพึมพำ มองดวงตาที่เหลือบมองไปทั่วอย่างสิ้นหวังเพื่อหลบสายตาข้า พยายามซ่อนอารมณ์ขัดแย้งที่กำลังต่อสู้กันอยู่ภายใน “เกลียดข้า แต่กระนั้น” ข้าพูดต่อขณะที่ปลายนิ้วเคลื่อนต่ำลง ไล้แผ่วเบาเหนือซี่โครง สัมผัสได้ถึงความร้อนจากผิวกายผ่านเนื้อผ้า ข้าดื่มด่ำกับปฏิกิริยาของเขา กับลมหายใจที่ขาดห้วง กับการที่เขาไม่ยอมถอยหนี “เจ้าก็ยังอยู่”

ริมฝีปากของเขาเผยอออก ข้ารู้ว่าเขากำลังจะปฏิเสธคำพูดของข้า แต่ข้าก็กดนิ้วลงบนปากเขาก่อนที่จะได้เอ่ยคำใด “อย่าโกหก อาร์วิน” ข้ากระซิบ ปล่อยให้ริมฝีปากของข้าลอยอยู่ใกล้ใบหูของเขา “อย่าโกหกข้า”

เขาสั่นสะท้านใต้สัมผัสของข้า หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเร็วเกินไป ร่างกายติดอยู่ระหว่างความโกรธกับ...บางสิ่งที่มากกว่านั้น

ข้าลากสัมผัสต่ำลงไปอีก ไล้ไปตามรูปทรงของเขา จดจำทุกเหลี่ยมมุมอันคมคาย และความแข็งแกร่งดื้อรั้นภายใต้ผิวเนื้อนั้น

“ข้าพรากมันไปจากเจ้าได้นะ” ข้าพึมพำ น้ำเสียงทุ้มและแผ่วลงกว่าเดิม “ข้ากระชากทุกคำปฏิเสธออกจากลำคอเจ้าได้ ทำให้เจ้าต้องอ้อนวอนในสิ่งที่เจ้าสาบานว่าไม่ได้ต้องการ”

ร่างกายของเขาเกร็งเครียด เล็บจิกลงไปในฝ่ามือ แต่เขาก็ยังไม่ถอยหนี อาร์วินไม่เคยทำเช่นนั้น เขาคือนักสู้ คือผู้รอดชีวิต มนุษย์ตัวน้อยของข้า

“งั้นก็ทำสิ” เขาสวนกลับมาทันควัน น้ำเสียงแหบพร่า

เราทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าอาร์วินกำลังท้าทายข้า แต่ข้าก็ไม่โง่พอที่จะรับคำท้านั้น ข้ารู้จักควบคุมตนเอง ข้ารู้จักยับยั้งชั่งใจในยามที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองปรารถนาอย่างสุดซึ้ง

ข้าก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าว ทลายระยะห่างระหว่างเราจนหมดสิ้นแล้วไปหยุดยืนใกล้ชิดอาร์วินจนน่าอึดอัด ข้ามองต่ำลงไปแล้วแสยะยิ้ม “ยังก่อน”

ความเงียบเข้าครอบงำเราอีกครั้ง มันน่าอึดอัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ราวกับระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังอยู่ระหว่างเราสองคน

ชีพจรของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง มันดังตุบๆ เป็นจังหวะสิ้นหวัง ทุกสรรพเสียงรอบกายดังกระหึ่มขึ้นในหูของข้า ในทุกจังหวะที่เต้นผิดเพี้ยน ข้ายิ่งตระหนักว่าเขาดึงดูดข้าเข้าหามากเพียงใด ไม่ใช่แค่อาร์วิน แต่เป็นพลังลึกลับที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังฉุดรั้งข้าเข้าไปใกล้ ส่วนเขา...ให้ตายสิ อาร์วินโน้มตัวเข้าหาข้าจริงๆ ตอนที่ข้าโน้มเข้าไป

เขาเพิ่งจะรู้ตัวก็ตอนที่ข้าถอยห่างออกมา สร้างระยะห่างระหว่างเราขึ้นมาอีกครั้ง

ลมหายใจของเขาหอบกระเส่า สองมือกำแน่นจนสั่นเทา ข้ามองเขา ลิ้มรสภาพที่เขาต่อสู้กับตัวเอง ภาพที่เขาพยายามขัดขืน แต่กลับไม่ขยับหนีไปไหน

“งดงาม งดงามเหลือเกิน” ข้าพึมพำกับตัวเอง เบาพอที่จะรู้ว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่ได้ยิน

หน้าอกของอาร์วินกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงตอนที่ข้ายื่นมือออกไปหา แต่ช่วงเวลามหัศจรรย์ระหว่างเรากลับแหลกสลายลงเมื่อประตูห้องนอนของข้าเปิดออกพร้อมกับการก้าวเข้ามาของมาลิค

เขากระแอมในลำคอ ทำให้ข้าต้องถอยห่างจากมนุษย์น้อยของข้า “ขอคุยด้วยหน่อย เลสเตอร์?” มาลิคถามเสียงดังพอที่จะดึงอาร์วินออกจากภวังค์

ข้าเหยียดยิ้มที่มุมปาก ใช้นิ้วไล้ไปตามแนวกรามของอาร์วินแล้วโน้มตัวเข้าไปกระซิบ “เป็นเด็กดีนะ ลูกแกะน้อยของข้า”

อาร์วินตัวสั่นสะท้านใต้สัมผัสของข้า แต่ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาพยายามเก็บอาการและซ่อนมันไว้ไม่ให้ข้ารู้

ไม่เป็นไร ข้าเป็นคนใจเย็นพอ จะเริงระบำอยู่รอบกายเขาไปอีกหลายสิบปีก็ยังได้ แน่นอนว่าข้ารับปากไม่ได้ว่าจะอดทนได้ตลอดไป แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริง

“เลสเตอร์?” มาลิคยังคงยืนอยู่ที่ประตู กอดอกพลางทำหน้าบึ้งตึง “เราต้องคุยกัน” เขาพูดซ้ำ มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง

หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่มาลิค ข้าคงฉีกมันเป็นชิ้นๆ ไปแล้วที่กล้ามาทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้

ขณะที่ข้าก้าวออกจากห้องนอนแล้วปิดประตูตามหลัง ข้าสังเกตเห็นว่าดวงตาสีทองของมาลิคเหลือบมองไปทั่วทุกแห่งหน ยกเว้นมองมาที่ข้า

“เรื่องมนุษย์น้อยของข้าใช่ไหมล่ะ” ข้าครวญออกมา เริ่มจะเบื่อบทสนทนานี้เต็มที

มาลิคแค่นเสียง “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย เรื่องนี้เกี่ยวกับพระองค์ เกี่ยวกับที่เหล่าผู้อาวุโสในราชสำนักกำลังซุบซิบนินทาเรื่องการตัดสินใจของพระองค์...เกี่ยวกับความอ่อนแอที่มันสื่อออกมา”

ข้าฮัมในลำคอ มุมปากกระตุก “อ่อนแอ?” ข้าทวนคำ ก้าวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น “บอกข้าสิ มาลิค...ข้าดูอ่อนแอในสายตาเจ้าหรือ?”

ดวงตาสีทองของมาลิคสบประสานกับตาข้า “พระองค์ก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร พวกนั้นบอกว่าพระองค์ควรจะสูบเลือดมันจนแห้ง ฆ่ามัน ฉีกกระชากคอหอยมันต่อหน้าทุกคนในราชสำนักเพื่อย้ำเตือนว่าพระองค์คือตัวอะไร แต่พระองค์กลับขังมันไว้”

ข้าเอียงคอ “แล้ว?”

“องค์ชายรับเลี้ยงมนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ? ยอมรับไม่ได้ พวกเขามองว่ามันเป็นมลทินต่อการปกครองของพระองค์...เป็นความอัปยศ”

ข้าฮัมในลำคอ ใช้นิ้วเคาะคางเบาๆ แล้วแสยะยิ้ม “ก็ดี...ปล่อยให้พวกมันอกแตกตายไปเลยแล้วกัน”

สีหน้าของมาลิคเคร่งขรึมลง “พระองค์คิดว่านี่เป็นเรื่องเล่นๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ? พวกผู้อาวุโสกำลังร้อนใจ พวกเขาสงสัยในตัวพระองค์มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตอนนี้...พวกเขาคิดว่าพระองค์คมเขี้ยวทื่อลงแล้ว คิดว่าความกระหายในตัวพระองค์มอดลงแล้ว”

ข้าหัวเราะในลำคอ “ทื่อลงรึ? โอ้ มาลิค...ข้าไม่เคยรู้สึกกระหายรุนแรงเท่านี้มาก่อนเลย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป