บทที่ 4 ตอนที่ 4

ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้เธอ แกล้งเอียงตัวมองดูหญิงสาวค่อยๆกดลบรูปจากกล้องของเขาทีละภาพ จนแน่ใจว่าในส่วนที่เป็นภาพของเธอ ได้ถูกลบจนหมด จากนั้นจึงยื่นกล้องคืนเจ้าของ

“แล้วจำเอาไว้ว่าทีหน้าทีหลัง อย่าไปทำอย่างนี้กับใครอีก” เธอฝากให้เขาคิด ก่อนจะหมุนตัวกลับ แล้วก้าวเดินจากมา

“เดี๋ยวสิคุณ...มาถึงก็ว่าฉอดๆ เสร็จแล้วก็จะไปง่ายๆ” เขาท้วงคนที่กำลังจะเดินหนี

มิตราหยุดกึก เธอค่อยๆหันกลับมาส่งสายตาค้อนให้เขา

“แล้วเรามีอะไรต้องคุยกันด้วยหรือคะ”

“เอ่อ…ผมชื่อกันย์นะครับ” เขารีบแนะนำตัวออกไป ชายหนุ่มเผลอจ้องดวงหน้าสวย ขณะที่แสงแดดอาบไล้พวงแก้มสะอาดสะอ้าน ไล่สายตาลงมาตลอดลำคอกลมกลึง ลาดเรื่อยลงมาถึงรอยพับของต้นแขนอ้อนแอ้น น่าทะนุถนอม

“ไม่ได้ถามสักหน่อย” เธอยักไหล่เล็กน้อย

“เอาเป็นว่าผมอยากบอก” เขาทำหน้าเจื่อน หากยังไม่ละความพยายามที่จะทำความรู้จักกับเธอ

“หมดธุระแล้วใช่ไหมคะ”

“ผมว่าเราน่าจะคุยกันดีๆได้นะครับ”

“ใช่ค่ะ...เราน่าจะคุยกันดีๆ ถ้าคุณไม่แอบถ่ายรูปฉันอย่างไร้มารยาท” เธอวกกลับมาที่การกระทำอันเป็นความผิดของเขา

“บอกตรงๆว่าผมสะดุดตา...เอ่อ ครั้งแรกที่เห็นคุณ เห็นสิ่งที่คุณทำ”

“สิ่งที่ฉันทำ?” เธอทวนคำของเขา

ดวงตาคมประกายของหญิงสาวหรี่มองเหมือนจะค้นความจริงในสิ่งที่เขาพูด จากดวงตาคมกริบของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ใช่ครับ ผมเป็นคนชอบงานศิลปะ แล้วบังเอิญเห็นคุณกำลังวาดรูปอยู่ นอกจากความรู้สึกชื่นชม ก็ไม่มีเจตนาอื่นจริงๆ ขณะที่ผมมองผ่านเลนส์ไปที่ใบหน้าของคุณ ซึ่งคุณคงไม่รู้หรอกว่ามันเป็นภาพที่สวยงามแค่ไหน หญิงสาวร่างบอบบางบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ในมือถือพู่กัน สายตาจับอยู่ที่รายละเอียดของทิวทัศน์เบื้องหน้า คุณคือความงดงามในสายตาของผม เหมือนกับภาพน้ำทะเลที่เป็นความงดงามในสายตาของคุณ ผมอดใจไม่ได้ที่จะเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้เป็นความทรงจำ” ชายหนุ่มสาธยายออกมายืดยาว

“คุณคงลืมไปว่าความทรงจำบางอย่าง เราควรจะเก็บเอาไว้ในใจก็ได้” หญิงสาวแย้ง

แม้จะยอมรับว่าเขาพูดได้น่าฟัง ทั้งน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่รู้จักเว้นจังหวะนักเบาอย่างคนพูดเป็น นึกในใจว่านายคนนี้คงเก่งในการพูดจาโน้มน้าวใจคน ถ้าเขาทำอาชีพขายประกัน เชื่อแน่ว่าหน้าตาและคารมของเขาคงทำให้สาวๆหลายคนใจอ่อนได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่เธอ

“ก็อย่างที่บอกครับ มันกะทันหันจนผมไม่มีเวลานึกถึงสิ่งอื่น แม้กระทั่งลืมคิดไปว่าจะเป็นการเสียมารยาทกับคุณ”

“เอาเป็นว่าฉันไม่ถือโทษคุณ” แม้น้ำเสียงที่พูด หญิงสาวทำเหมือนต้องการตัดรำคาญ ทว่าเหตุผลที่เขายกมาอ้าง จะว่าไปก็พอฟังได้

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป…ขอดูผมหน่อยได้ไหมครับ”

“ขอดู…เอ่อ คุณหมายถึงภาพที่ฉันวาด” เธอย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ใช่ครับ ผมอยากเห็นภาพที่คุณวาด”

“มันอาจจะไม่สวยอย่างที่คุณคาดหวังว่าจะได้เห็น อีกอย่าง…ฉันยังวาดไม่เสร็จ”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ผมกำลังมองหาภาพวาดเพื่อจะใช้ตกแต่งรีสอร์ทและโรงแรมอยู่พอดี”

“อะไรนะคะ” มีความแปลกใจและดีใจปรากฏให้เห็นพร้อมๆกันบนดวงหน้าหวาน เขาอาจโกหกออกไปเรื่อยเปื่อย เพียงเพื่อต้องการทำความรู้จัก แต่หน้าตา ท่าทาง และการพูดจาที่น่าเชื่อถือของเขา ก็อาจเป็นได้ ถ้าเขาจะมีตำแหน่งถึงระดับผู้จัดการรีสอร์ต

“ขอผมดูภาพที่คุณวาดหน่อยได้ไหมครับ” เขายังยืนยันว่าอยากเห็น

หญิงสาวนิ่งคิด เพียงเสี้ยวนาทีสำหรับตัดสินใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าจะให้เขาดูภาพที่เธอกำลังวาด  หากเขาเป็นผู้จัดการรีสอร์ตจริงอย่างที่เอ่ยอ้าง มันก็หมายถึงรายได้ระหว่างที่เธอกำลังรองาน ถ้าเขาสนใจภาพวาดของเธอขึ้นมาจริงๆ

มินตราเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต ศิลปะศาสตร์ จากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งมาหมาดๆ อยู่ระหว่างรอรับปริญญา ช่วงนี้จึงหางานไปพลางๆ แต่ที่ตัดสินใจมาเที่ยวเกาะเหลาเหลียง เพราะเป็นความใฝ่ฝันเมื่อหลายปีมาแล้ว หลังจากได้ดูสารคดีท่องเที่ยวจากรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง จากนั้นเกาะเหลาเหลียงซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ก็กลายมาเป็นความใฝ่ฝันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิต…เธอจะต้องมาเยือนให้ได้

มินตราจึงขออนุญาตแม่ ให้เหตุผลว่าอยากให้รางวัลชีวิตตัวเองที่เรียนจบ แม้ยุพาผู้เป็นแม่จะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะในชีวิตของมินตราที่ผ่านมา การไปเที่ยวแล้วได้ค้างคืนที่ไหนสักแห่ง เกิดขึ้นแทบนับครั้งได้สำหรับเธอ ทว่าครั้งนี้ที่ยุพายอมอนุญาต เพราะเห็นว่ามินตราก็ไม่เคยนอกลู่นอกทาง อีกทั้งยังมีเพื่อนสนิทมาด้วย ซึ่งก็คือดาริน

ก่อนจะก้าวตามหญิงสาวมา ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะหันไปคว้าเสื้อเชิ้ตที่ถอดแขวนเอาไว้กับกิ่งไม้ เอาพาดบ่าแล้วรีบก้าวยาวๆตามมินตรา ลัดเลาะโขดหินตะปุ่มตะป่ำ ย่ำทรายจนมาถึงเก้าอี้ไม้ไผ่เก่าผุที่มีอุปกรณ์วาดรูปวางทิ้งเอาไว้ ใกล้ๆกันมีร่างของดารินกำลังนั่งวาดรูปอยู่

บทก่อนหน้า
บทถัดไป