บทที่ 2
โนอาห์
“…นี่สินะเหตุผลที่เขาจ่ายให้ผมเยอะขนาดนี้?!” ผมตะโกน ผมพยายามลงจากรถ แต่ประตูถูกล็อก ฉิบหาย
“อยู่นิ่ง ๆ แล้วอย่าทำแบล็กบิวท์พังล่ะ ไอ้เปี๊ยกเวร” เขาขู่ฟ่อ “ข้าคือก็อบลินเรดแคป ชื่อจอห์นนี่ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจลับสายพันธุ์เหนือธรรมชาติ มุกของข้าคือขับไอ้คันนี้ไปทั่ว จะได้ไม่มีใครสงสัยว่าข้าคอยสอดส่องเมืองนี้อยู่”
ผมงุนงง
“ผมได้รับเชิญจากผู้บัญชาการตำรวจ” ผมพูดเพื่อใช้เป็นข้อต่อรอง… เขายอมคุยด้วย… งั้นเจ้าสัตว์ประหลาดสูงสามฟุตนี่อาจจะพอมีเหตุผลให้คุยกันได้… ล่ะมั้ง…
ผมถูกสอนมาว่าทุกสิ่งที่ไม่ได้มาจากแสงสว่างล้วนชั่วร้าย แม้ว่ามันจะดูดีหรือคุณคิดว่ามันโอเคก็ตาม…
“ใช่ เจ้านายอย่างที่ข้าบอก” เขาพูดสบาย ๆ “กองกำลังตำรวจลับมีหน้าที่ดูแลเหล่าสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่เป็นความลับ พวกเรามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่ครึ่งเทพไปจนถึงผู้แปลงกายม้าลาย เทพนิยายเด็ก ๆ ของเจ้าน่ะเป็นเรื่องจริงทั้งนั้นแหละ ไอ้หนู เราไม่ไปยุ่งกับใคร แต่ในเมื่อพวกของเจ้าถูกปิดหูปิดตา มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะรักษามันไว้แบบนั้น และรักษาความสงบสุข ถ้าพวกเราคนไหนทำตัวนอกลู่นอกทาง ส่วนใหญ่แล้วเราก็จะจัดการกันเอง” เขาพูดยื่นซิการ์ให้ผม
ผมรับมันมาแม้ว่าผมจะไม่สูบ….
“…แล้วทำไมพวกคุณไม่เปิดเผยตัวไปเลยล่ะ?” ผมถาม จอห์นนี่กลอกตา
“…จริงดิ?” เขาพ่นลม “เศรษฐกิจเพิ่งจะกลับมาเข้าที่เข้าทางจากเรื่องทะเลาะเบาะแว้งล่าสุดที่พวกเจ้าฆ่ากันเอง มนุษย์ด้วยกันเองยังไม่ยอมรับการปกครองของพวกเดียวกันเลย แล้วมันจะดีตรงไหนถ้าปล่อยให้พวกเขารู้ว่าโลกนี้มันเป็นไปยังไงกันแน่?” เขาจุดซิการ์ของตัวเองแล้วอัดควันเข้าไป “แต่จะโทษมนุษย์ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้... พวกแวมไพร์เป็นคนเริ่ม”
“แล้วมันเป็นไปยังไงกันแน่ล่ะครับ?” ผมถาม
“ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมนะเจ้ามนุษย์ เจ้าคือเนื้อ” เขาพูดอย่างโผงผาง “เนื้อสด ๆ สำหรับห้องเก็บเสบียงเลยล่ะ ทันทีที่พวกของเจ้าก้าวออกจากบ้านเล็ก ๆ แล้วเข้าไปในป่า พวกเจ้าก็จะถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าแฟผู้หิวโหย ให้ตายสิ บางตัวยังเป็นอันตรายในเมืองด้วยซ้ำ”
“เยี่ยมไปเลย” ผมพึมพำ
“มันก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดหรอก” เขาอัดควันอีกครั้ง แล้วก็เอาซิการ์ของผมไปจุดให้ “มันมีสนธิสัญญาปี 1605 อยู่ ศาสนจักรและเหล่าราชันย์ของพวกเราตกลงกันว่าโดยพื้นฐานแล้วมนุษย์จะอยู่ส่วนมนุษย์ และเราก็จะอยู่ส่วนของเรา ถ้าเราถูกจับได้ว่าทำร้ายมนุษย์ในถิ่นของมนุษย์ เราจะตกเป็นของศาสนจักรเพื่อนำตัวขึ้นสู่เดอะริง และในทางกลับกันก็เช่นกัน”
“งั้นชื่ออย่าง ‘อีเควสตอส’...? เขาเป็นม้าเหรอครับ?” ผมถามอย่างสับสน นี่มันมากเกินไปแล้ว
“ยูนิคอร์น สิ่งมีชีวิตที่ได้รับความไว้วางใจที่สุดจากทุกเผ่าพันธุ์” เขาแก้พร้อมกับชี้นิ้วที่มีกรงเล็บขึ้น “เผ่าพันธุ์ของเขาเป็นวีแกน ในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดาวเอิร์ธ พวกนั้นเรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาจากสิ่งเดียวกับลูกหมาและเสียงหัวเราะของทารกเลยล่ะ เขาจ่ายค่าจ้างให้ข้าเป็นทองคำเพื่อให้เจ้าตั้งตัวได้ มันจะต้องมีช่วงที่ต้องเรียนรู้อะไรเยอะหน่อย แต่ปฏิกิริยาของเจ้าก็บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเจ้าได้มาก ข้าว่าเจ้ามีลูกบ้าดี”
“เพื่อครอบครัวของผม ผมต้องทำ” ผมพูดแล้วจอห์นนี่ก็ยิ้มกว้าง
“ต้องอย่างนั้นสิ ไปพบคนอื่น ๆ กันเถอะ แล้วเจ้าก็เข้าพักในชุมชนที่มีรั้วรอบขอบชิด จากนั้นวันจันทร์ก็เริ่มฝึกวันแรก” เขาพูดอย่างกระตือรือร้น “ตอนนี้เจ้าเป็นพวกเราแล้ว ตรานั่นคือใบอนุญาตของเจ้าสู่โลกที่เจ้าจะไม่มีวันได้เรียนรู้”
ผมมองตราที่ติดอยู่บนชุดสูทของผม ผมยังไม่ได้กล่าวคำสาบานอะไรเลย และนี่มันก็ออกจะเกินไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย… ยังไม่ใช่… ผมมีความรู้สึกว่าผมคงไม่ต้องกังวลกับคนที่มีตราเหมือนกับผม… แต่กับคนอื่น ๆ นี่สิ
มีโลกทั้งใบที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน และผมก็ถูกโยนเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว แถมยังถูกคาดหวังให้รับมือกับมันให้ได้อีก
----เจโรลด์ หนึ่งชั่วโมงต่อมา---
วันนี้ห้องทำงานของผู้การรกเป็นพิเศษ มีคนเห็นมังกรบินอยู่เหนือเมืองไบซัน ตอนนี้เราเลยต้องใช้เวทมนตร์ปิดปากพยาน แล้วก็ตำหนิเจ้ามังกรตัวนั้น มันโชคดีที่เรื่องนี้เกิดขึ้นนอกเขตอำนาจของศาสนจักร ถ้ามันบินล้ำเส้นไปอีกไม่กี่ฟุต เรื่องคงไม่จบแค่นี้
“ข้าไม่รับมนุษย์มาเป็นคู่หู” ข้าขู่ฟ่อ พลางเลื่อนแฟ้มกลับไปให้เขา เขาวางมันลงในโต๊ะทำงานแล้วกอดอก
“ท่านต้องมีใครสักคนเป็นคู่หูนะ ราชันย์เอสคิลัส” เขาเรียกข้าด้วยชื่อจริง ซึ่งข้าเกลียดมัน เขาทำเพื่อกวนประสาทข้า “ข้าไม่ยอมให้ท่านปฏิเสธคนนี้” ผู้การอีเควสตอสพูด พลางขยี้ผมสองสีที่มีโคนสีขาวและปลายสีดำของตัวเอง
เขาเลิกย้อมผมสีดำแล้ว ตอนนี้ศาสนจักรผ่อนปรนมากขึ้น แต่เดิมแล้ว ผมสีอื่นที่ไม่ใช่เฉดของสีบลอนด์ สีขิง สีดำ สีเทา หรือสีน้ำตาลถือเป็น ‘ของปีศาจ’
ก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามที่จะลบเลือนตราบาปนั้นทิ้งไป แต่ก็ล้มเหลวมาตลอดจนกระทั่งบัดนี้ ผู้คนสมัยนี้เปิดใจกับแนวคิดที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมเช่นนี้มากขึ้น เพราะโลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างแท้จริงด้วยการต่อสู้ของพวกเขา
ขนของเอเควสทอสเป็นสีขาวระยิบระยับเพราะเขาเป็นยูนิคอร์น ส่วนของข้าเป็นสีน้ำตาลเข้ม ด้วยความเป็นมิโนทอร์ นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นร่างที่แท้จริงของเขา และนานยิ่งกว่าที่ข้าไม่ต้องเปลี่ยนร่างตัวเอง...
ในฐานะกระทิงศึก ข้าต้องเก็บอารมณ์ของตัวเองไว้ให้มิด... ยิ่งข้าโกรธมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งควบคุมตัวเองได้น้อยลงเท่านั้น และตอนนี้ เอเควสทอสก็เป็นเหมือนแมลงวันที่น่ารำคาญซึ่งบินหวี่ๆ อยู่ข้างหูข้า
“เจ้ารู้ความลับของข้า เจ้ารู้ว่าข้าไม่มีวันตาย แล้วข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงส่งคู่หูมนุษย์มาให้ข้า...” ข้าพ่นลมหายใจอย่างเกรี้ยวกราด “แถมยังเป็นพวกอ่อนหัดซะจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเรามีตัวตนอยู่จริง”
นั่นแหละคือเรื่องที่ทำให้ข้าหัวเสียจริงๆ ไม่ใช่แค่ได้เด็กใหม่ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเลยสักนิด แต่ยังเป็นคนที่มีแนวโน้มจะกลัวหรือเกลียดข้าอีกด้วย
คงไม่น่าแปลกใจหรอก
“เจ้าทำให้ข้าสับสน... เจ้าอยากจะอยู่ในหน่วย แต่ก็อยากจะเล่นตามกฎของตัวเอง ข้าให้ใครไป เจ้าก็ต้องรับคนนั้น นั่นคือสิ่งที่เจ้าตกลง” เขาพ่นลมเสียงเย็น เขาพูดถูก แต่ข้าไม่อยากฟัง หัวหน้ากำลังเรียกร้องมากเกินไป
“ข้าตกลงที่จะช่วยเหลือดินแดนส่วนนี้เพราะไม่มีใครทำ และข้าไม่ต้องการคู่หูมนุษย์ปุถุชนบ้าๆ นี่” ข้ายืนขึ้น ข้าสูงเจ็ดฟุต... มีน้อยคนนักที่จะกล้าสบดวงตาสีน้ำตาลเข้มอมแดงของข้า มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำนอกจากตอนที่ข้าโกรธจัด
“ข้าให้สัจจะโลหิตของข้าไปแล้ว” เขายืนขึ้นเช่นกัน “เจ้าเหนือใครอื่นย่อมรู้ดีว่ามันสำคัญแค่ไหน... ช่วยข้าสักครั้งเถอะ”
“เอ่อ ผมอยู่นี่ครับ” เสียงนุ่มหวานดังขึ้น ชายหนุ่มน่าจะอายุราวๆ 20 และเมื่อข้ายืนขึ้น สิ่งที่ข้าเห็นมีเพียงสีแดงฉาน “สวัสดีครับ ผมเจอเจ้าหน้าที่คนอื่นของคุณแล้ว ผมชื่อโนอา-”
“ไสหัวไป” ข้าคำราม ปล่อยให้เขาได้ยินเสียงก้องกังวานของราชามิโนทอร์
ข้าทำให้หน้าต่างบานใหญ่ของร้านสั่นสะเทือน... ข้าหยุดก่อนที่มันจะแตกอีกครั้ง
แววตาหวาดกลัวของเขายืนยันความสงสัยของข้า เด็กใหม่ที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ!
ข้าโกรธจัดที่เอเควสทอสทำเรื่องแบบนี้โดยไม่สนความต้องการของข้า ข้ายกตัวเขาขึ้นจากใต้รักแร้ แล้วจับเขายัดลงถังขยะที่ใกล้ประตูที่สุด ข้าระวังไม่ให้เขาเจ็บ... แต่ให้ตายสิ เรื่องนี้ทำให้อารมณ์ข้าพุ่งไปถึงระดับ 15 จากเต็ม 10
ข้าโกรธจัดจนมือสั่นหงึกๆ ซึ่งยิ่งทำให้ข้าโมโหมากขึ้น กล้าดียังไงมาส่งเด็กหนุ่มคนนี้ให้ข้า... ข้าไม่อยากเห็นใครต้องมาตายในมือข้าอีกแล้ว
ข้าไม่มีวันตาย... ข้าจะกลับมาได้ แต่เขาไม่... พรแห่งผู้ชนะที่ประทานให้ข้านี้มันเหมือนคำสาปบ้าๆ มากกว่า
ข้าเดินออกมา ข้าออกมาก่อนที่เขาของข้าจะงอก ไม่อย่างนั้นข้าคงได้แต่แหกปากใส่ทุกคน
ข้ากลับมาถึงบ้านแล้วก็เปลื้องผ้าออก บางทีการอาบน้ำอาจช่วยได้ ข้าโมโหฉิบหายจนจำไม่ได้ว่ากลับมายังไง ขับรถมาหรือเดินมากันแน่
ข้าก็ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอนั้นอย่างเต็มปากไม่ได้เช่นกัน เราเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ ถ้าข้าทำ มันก็เหมือนกับข้าลงนามยอมรับแผนการของเจ้ายูนิคอร์นบ้านั่น พ่อของเด็กหนุ่มคนนั้นเคยช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อหลายปีก่อน ยูนิคอร์นเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าเชื่อถือที่สุด แต่ในฐานะมิโนทอร์ ข้าไม่สามารถเชื่อใจใครง่ายๆ ได้
ข้าสระผมอย่างแรงเพื่อเริ่มขจัดกลิ่นสาบออกจากตัว
คู่หูคนแรกของข้า ไดอาน่า ใช้ข้าเป็นแค่ของเล่นทางเพศ... ข้าเคยคิดว่าเธอรักข้า... เราอยู่ด้วยกันนานกว่าสามพันปี... เอาจริงๆ ข้าก็ลืมไปแล้ว มันอาจจะนานกว่านั้น... ทั้งหมดนั่นก็เพื่อให้ข้าหายไปไม่กี่สัปดาห์แล้วกลับมาเจอเธอกำลังเล่นสวาทสามคน
จากนั้นก็มีเจ้าชายแวมไพร์ เขาก็ทำแบบเดียวกัน... เนื่องจากเขาเป็นเจ้าชาย นายของเขา ราชาวิกเตอร์ จึงพยายามบังคับให้เขาฆ่าข้า... เขาไม่ต้องการให้เราอยู่ด้วยกันเพราะสิ่งที่ข้าเป็น และเพราะมีมิโนทอร์อยู่บนเตียงของชายที่เขาอ้างว่าเป็นลูกชาย
หลังจากตื่นขึ้นมาเจอเขากำลังพยายามควักหัวใจข้า ข้าก็เอือมระอากับทุกคนตั้งแต่นั้น และยังคงเป็นอยู่
มันไม่สำคัญเลยว่านั่นคือช่วงศตวรรษที่ 10
การมีอยู่ของข้านำความอัปยศอย่างแท้จริงมาสู่ตระกูลของพวกเขาเพราะสิ่งที่ข้าเป็น... แม้แต่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติบางตนก็ยังรังเกียจข้า แต่ใครจะไปโทษพวกเขาได้ล่ะ









































































