บทที่ 1 1
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังระงม ส่งผลให้คนที่นอนกางแขนกางขาอยู่บนเตียงต้องพลิกหันไปอีกด้านพร้อมดึงหมอนมาปิดหู ดวงตายังคงหลับสนิทแม้ว่าหัวคิ้วจะย่นเข้าหากันก็ตาม
เมื่อคืนเขาทำงานจนย่ำรุ่ง กว่าจะได้กลับก็ฟ้าสว่างแล้ว แต่หลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็มีคนมากดกริ่ง…ไม่รู้จักมารยาทบ้างซะเลย กดกริ่งรัวแบบนี้แสดงว่าต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่กดอย่างบ้าระห่ำ
ทั้งปวดหัว ปวดหู แถมหงุดหงิดที่ต้องมีเสียงดังรบกวนการนอนตั้งแต่เช้า ชาวัตน์จึงดีดกายลุกยืน จับหมอนเขวี้ยงใส่ฝาผนัง แล้วเดินกระแทกเท้าปึงปังออกไปดูหน้าประตูรั้ว…คอยดูเถอะ ถ้าเจอหน้าจะสวดให้ยับ โทษฐานมารบกวนเวลานอนอันแสนสุขของเขา
ชายหนุ่มหน้าบึ้งตึง ตั้งใจไว้เป็นมั่นเหมาะถ้าเจอมือกดกริ่งเมื่อไหร่ จะตำหนิให้หนัก แต่พอเห็นหน้าคนที่ยืนอยู่นอกรั้วได้ถนัดชัดสายตา เขาก็ถึงกับอึ้ง…
จะไม่ให้อึ้งได้อย่างไร ก็ดูผู้หญิงคนนี้สิ เป็นใครก็ไม่รู้ แต่หน้าตาสวยบาดตาไม่น้อย โดยเฉพาะรูปร่างที่เซ็กซี่ยวนใจจนเผลอมองโดยไม่รู้ตัว
เสื้อกล้ามรัดติ้วนั่น ไม่อาจปกปิดอกอวบที่ล้นทะลัก ชายเสื้อลอยขึ้นข้างบนเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่เจาะสะดือแล้วใส่เครื่องประดับเล็กๆ ไว้ กางเกงขาสั้นแค่คืบ ทำให้เห็นช่วงขายาวเรียวขาวผ่องปราศจากขนหน้าแข้ง
เฮ้ย…นี่นางยั่วหลุดมาจากไหน…?
ชาวัตน์อดคิดแบบนั้นไม่ได้ ทั้งหน้าตา ลักษณะการแต่งตัว และอกสะบึมที่ใหญ่จนน่าอึดอัดนั่น ดูยังไงก็เหมือนนางยั่วชัดๆ !
ตาคู่คมตวัดมองหน้าหญิงสาวอย่างดุดัน แล้วถามเสียงเครียดว่า
“มาผิดบ้านหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ มาถูกแล้ว ที่นี่บ้านคุณชายใช่ไหมคะ”
เสียงเธอหวานไม่ต่างจากหน้า แต่เขาไม่คิดจะเคลิ้มหรอกนะ ผู้หญิงสวย เสียงดี รูปร่างเพอร์เฟ็กต์นี่ละตัวอันตรายเลย ไม่น่าไว้ใจที่สุด
“มีธุระอะไรกับบ้านหลังเล็กๆ ของผมมิทราบ”
ใช่แล้ว…บ้านที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้หลังขนาดกะทัดรัด สีฟ้าสดใส มีโมบายห้อยไว้หน้าประตูบ้าน เสียงดังกรุ๋งกริ๋งทุกครั้งที่ลมพัดผ่าน
แม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายมหาเศรษฐี แต่เขาก็รักการวาดรูปจึงปลีกตัวมาอยู่บ้านหลังน้อยที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติเพื่อหนีห่างจากสังคมเมืองที่วุ่นวาย
“ค่ะ” หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะแสดงเจตจำนงว่า “พ่อของคุณส่งให้ฉันมาเป็นเมียชั่วคราวของคุณค่ะ”
“หืม ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง ก่อนจะถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “เมื่อกี้คุณบอกว่าไงนะ”
“พ่อของคุณกลัวลูกชายจะอยู่แต่ในธรรมชาติจนนึกปลงแล้วบวชตลอดชีวิตน่ะค่ะ เลยส่งฉันมาเพื่อทำให้คุณกระชุ่มกระชวยหัวใจ”
“หืม ?” คราวนี้คิ้วเลิกขึ้นทั้งสองข้างเลยทีเดียว “พ่อผมเนี่ยนะส่งคุณมา”
“ใช่ค่ะ ช่วยเปิดประตูรั้วให้หน่อยได้ไหมคะ ฉันเข้าไม่ได้”
“เข้ามาไม่ได้ก็ยืนอยู่ตรงนั้นละ ผมไม่คิดจะเปิดประตูรับคนแปลกหน้า” ชายหนุ่มกอดอก ตีหน้าขมึง
“จะให้ผู้หญิงยืนบนรองเท้าส้นสูง ตากแดดตอนเที่ยงอยู่แบบนี้น่ะหรือคะ”
“ถ้าไม่อยากตากแดด ไม่อยากยืนอยู่บนรองเท้าสูงๆ ให้เมื่อย คุณก็กลับบ้านไปสิคร้าบ ไร้สาระจริงๆ เลย แล้วอย่ากดออดปลุกผมอีกละ ผมจะนอน” ชี้หน้าสั่งเธอเสียงห้วนกระด้าง ก่อนหมุนกายกลับเข้าบ้าน แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องหันกลับไปมองทางรั้วอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเหล็กขยับดังแกรกกราก
ครั้นเห็นหญิงสาวถอดรองเท้า มือข้างหนึ่งถือรองเท้าไว้ กำลังปีนป่ายขึ้นรั้วอย่างทุลักทุเล เขาก็ว้ากลั่นทันที
“เฮ้ย ! หยุดนะ ลงไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ลงค่ะ ฉันไม่มีวันยอมยืนนิ่งๆ ตากแดดทั้งวัน และก็จะไม่มีวันกลับบ้านตอนนี้ด้วย เพราะฉะนั้นฉันเลยจำเป็นต้องปีนรั้วค่ะ”
“หน้าด้านที่สุด” ชายหนุ่มโมโหจนเส้นที่ขมับกระตุก ปราดเข้าไปเลื่อนประตู…ขณะที่ประตูเลื่อนนั้น คนที่เกาะเป็นตุ๊กแกอยู่บนรั้วอัลลอยด์ก็ถึงกับกรี๊ดลั่น
“ว้าย ! ตกใจหมดเลยนะคะ”
“ลงมานี่” มือใหญ่จับแขนเล็กกระตุกให้เธอยอมลงมา ก่อนจะจับตัวเธอขึ้นพาดบนบ่า “ดื้อด้านนักใช่ไหม”
“ว้าย ! คุณชายจะทำอะไรคะ”
“ผู้หญิงอะไร หน้าด้าน ใจด้าน ดื้อด้าน สงสัยต้องลงโทษสักหน่อย คุณจะได้หายด้านซะที”
นราพิมพ์ตาเหลือก ดิ้นพั่บๆ ขาปัดป่ายไปมา ปากก็ร้องโวยวาย “ปล่อยนะ ปล่อย…บอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้ไงเล่า ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ จะได้มาลงโทษกันแบบนี้
“ใช่…คุณไม่ใช่เด็กแล้ว” เขายิ้มเย็น ก่อนกางมือออกแล้วฟาดใส่ก้นหญิงสาวเต็มแรง
เผียะ !
“ว้าย ! กรี๊ด !” หญิงสาวกรีดร้องอย่างโหยหวน “ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ คุณจะได้มาลงโทษแบบนี้”
“ไม่ใช่เด็กแล้ว ?” ตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย วางหญิงสาวลง ดวงตาจับจ้องมองวงหน้าสวยบาดใจนั้น ก่อนจะชี้นิ้วไปทางซ้าย “ถ้าโตแล้วก็ควรมีหัวคิดมากกว่านี้ กลับบ้านไปซะ !”
“ฉันกลับไม่ได้” วูบหนึ่งที่ในแววตาฉายแววความเศร้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งอีกครั้ง “หากยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ฉันจะไม่ยอมกลับ”
“หมายความว่าคุณอยากเป็นเมียผม”
