บทที่ 4 4

ชาวัตน์วางมือจากพู่กัน พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลงชั่วครู่ ภาพความเย้ายวนแจ่มชัดในห้วงนึก…หญิงสาวร่างเล็ก นุ่มนิ่มไปทั้งตัว เพียงได้สัมผัส อารมณ์หนุ่มก็กระเจิง

โดยเฉพาะริมฝีปากของเธอช่างยั่วใจจนไม่อยากผละห่าง… อยากจูบซ้ำๆ

มือใหญ่ยกขึ้นคลึงสันจมูกตรงระหว่างคิ้ว ให้ตายเถอะ…เขาไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน จิตใจกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิกับงานตรงหน้าทั้งๆ ที่โดยปกติแล้วจะเป็นคนใจเย็น

ป่านนี้ผู้หญิงคนนั้นคงกลับไปแล้ว เพราะคงไม่มีใครหน้าด้านอยู่ต่อได้หรอก หากโดนเจ้าของบ้านดูถูกและผลักไสขนาดนี้แล้ว

ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เลิกอารมณ์ปั่นป่วนแล้วกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ตามเดิมเสียที

ชาวัตน์ลุกยืน ตั้งใจจะเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้า แต่ยังไม่ทันได้ขยับเท้า หูก็แว่วได้ยินเสียงกริ่งดังลั่นอีกครั้ง

ใครมาบ้านเขาอีกแล้ว ?

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างฉงน เดินไปหยุดดูอยู่ริมหน้าต่าง เห็นร่างเล็กบางที่เขาจำได้ดีว่าเป็นนราพิมพ์วิ่งด้วยความเร็วสูงตรงไปที่ประตูรั้วซึ่งมีรถของคนแปลกหน้ามาจอดรออยู่

ใครกัน ? หรือว่าจะเป็นโจรขโมยที่นราพิมพ์นัดมา

ชายหนุ่มหันขวับเปิดลิ้นชักโต๊ะตรงมุมห้อง หยิบปืนสั้นสีดำมาถือไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดไม่น้อย บ้านพักหลังนี้อยู่ห่างไกลชุมชน บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันพอสมควร อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีต้นไม้และป่าหญ้าค่อนข้างเปลี่ยว จึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะต้องระแวงคนแปลกหน้าทุกคน

ก็คนสมัยนี้รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจนี่นา

ชาวัตน์เดินรี่ออกจากบ้านพร้อมอาวุธป้องกันตัว แต่พอมาถึงจุดหมายกลับชะงักเมื่อเห็นผู้ชายร่างผอมขนกระเป๋าเดินทางใบโตลงจากรถมาวางลงบนพื้น

“ถือปืนมาทำไมหรือคะ” นราพิมพ์หันมาถามด้วยน้ำเสียงหวานระรื่น พลางหลุบตาลงมองปืนในมือเขา

“ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเอง” เขาตอบหน้าขรึม ก่อนกระชากเสียงถามชายแปลกหน้าคนนั้น “คุณเป็นใคร แล้วกระเป๋านี่อะไรกัน ถ้าจะมาอยู่ที่นี่อีกคน ผมคงต้องปฏิเสธ เพราะบ้านผมไม่ใช่โรงแรม”

“ผมไม่ได้มาอยู่ครับ แต่เอากระเป๋ามาส่งคุณพิมพ์”

ชาวัตน์หันไปมองหน้าหญิงสาวพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง “กระเป๋าสัมภาระของเธอยังงั้นหรือพิมพ์”

“ค่ะ” เธอตอบหน้าชื่นตาบาน ก่อนจะหวีดร้องเมื่อโดนเขาจับแขนกระชากอย่างแรง “ว้าย !”

“ใครบอกให้เธอขนของมาอยู่บ้านฉันตามใจชอบ ห๊ะ”

“คุณพ่อของคุณชายไงคะ”

คำตอบจากเธอทำให้เขาอึ้ง ตาคู่คมหลุบลงมองหน้าหวานเพียงครู่ ก่อนเลื่อนสายตาต่ำลงมองหน้าอกอวบ จากนั้นก็สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง

“กลับไปซะ”

“จะไล่ให้กลับได้ไง พ่อของคุณชายจ้างฉันมานะคะ”

“ทำไมเธอไม่ทำงานที่มีศักดิ์ศรีมากกว่านี้ ทำตัวตกต่ำทำไม”

ชายร่างผอมที่เอาสัมภาระมาส่งให้นราพิมพ์มุดหัวกลับเข้ารถกระบะในตำแหน่งคนขับ ก่อนจะยื่นหน้าออกมาบอกสั้นๆ ห้วนๆ ว่า

“ผมกลับก่อนนะครับ”

“เอาผู้หญิงคนนี้กลับไปด้วย” ชาวัตน์พูดเสียงรัว ขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงส่ายหน้า

“ไม่ได้หรอกครับ ผมมีหน้าที่เพียงเอาของมาส่งให้คุณพิมพ์เท่านั้น ที่เหลือก็เคลียร์กันเอาเองก็แล้วกันครับ ลาละ” จบประโยคก็สตาร์ทเครื่องยนต์ขับจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงกลิ่นควันท่อไอเสียและฝุ่นที่คลุ้งตลบ ทว่าเพียงอึดใจเดียวทุกอย่างก็กลับเป็นปกติดังเดิม

“เธอมาทำไม ชีวิตฉันต้องการความสงบ”

“ฉันมาเพื่อทำให้คุณหายเมื่อยล้า จะดูแลปรนนิบัติคุณอย่างดีนะคะ”

“เธอ…” พูดได้เพียงเท่านี้ก็เงียบไป สันกรามบดเข้าหากันแน่น ชาวัตน์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นเท้าสะเอว

“ไล่ให้ตายฉันก็ไม่ไปค่ะ”

“ถ้างานที่เธอได้รับมอบหมายมาเป็นงานที่มีเกียรติ ฉันคงจะชื่นชมเธอ แต่นี่เป็นงานขายตัว… เธอไม่มีอะไรจะขายแล้วหรือไง ถึงเอาเรือนร่างตัวเองออกเร่ขายแบบนี้”

นราพิมพ์สะอึก คำพูดที่โดนตอกใส่หน้าช่างเจ็บแสบไม่ต่างจากน้ำกรด… ผู้ชายปากจัด ท่าทางเขาจะเดียดฉันท์อาชีพโสเภณี หากเธอเลือกได้ เธอคงไม่ทำแบบนี้หรอก แต่นี่เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงต้องยอมก้มหน้าให้ผู้ชายดูถูก

“ค่ะ ฉันเอาเรือนร่างตัวเองออกขาย อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้ฉันได้เงิน”

ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าอย่างสมเพช พลางเหยียดยิ้มหยัน “เงินสองแสนสำคัญต่อเธอมากขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ค่ะ”

“ฉันไม่มีทางมีอะไรกับผู้หญิงสกปรกอย่างเธอ”

“นั่นเป็นเรื่องในอนาคต แต่ปัจจุบันนี้ขอฉันอาศัยอยู่บ้านของคุณด้วยนะคะ”

“เธอนี่หน้าด้านซะจริง” เขาสบถ ดวงตาเปล่งประกายวาววับเมื่อนึกบางอย่างออก ก่อนจะเสนอเงื่อนไข “ถ้าอยากอยู่กับฉันนัก ก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้า แล้วจูบเท้าฉันสิ ถ้าเธอยอมทิ้งศักดิ์ศรีทำถึงขั้นนั้น ฉันอาจเวทนายอมให้เธอพักด้วยก็ได้”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป