บทที่ 5 5

ฟังดูก็รู้ว่าเขาเหยียดหยามเธอมากแค่ไหน หญิงสาวได้แต่กำมือแน่น ขบเม้มปากอิ่มจนแดงช้ำ กระบอกตาร้อนผ่าว เกิดมาไม่เคยต้องยอมใคร แต่เหตุใดจึงต้องมายอมให้กับคนคนนี้…คนที่มองว่าเธอมีค่าเท่าเศษฝุ่น

“ว่าไงละ ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปซะ นี่เป็นบ้านของฉัน ไม่ใช่บ้านของเธอ ฉันมีสิทธิ์จะให้ใครอยู่ หรือไล่ใครไปก็ได้”

ท่ามกลางแสงแดดแรงร้อน หยาดเหงื่อเกาะพราวตามสองแก้ม เธอนิ่งงันอยู่พักหนึ่งโดยไม่ยอมขยับไปไหน จนเขาเอือมระอาจะเป็นฝ่ายผละกลับเข้าบ้านเสียเอง

แต่ไม่ทันที่เขาจะได้หันหลังกลับ อยู่ดีๆ หญิงสาวก็ทรุดลงนั่งคุกเข่าเบื้องหน้า

“หืม ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงมองเธออย่างฉงน ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนราพิมพ์ก้มตัวลง จุมพิตหลังเท้าของเขาเบาๆ

ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งตัว เขารู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลแตะลงบนหลังเท้า…เธอกำลังร้องไห้ !

“พิมพ์ เธอทำบ้าอะไร”

“ทำอย่างที่คุณต้องการไงคะ” หญิงสาวตอบเสียงสั่น ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นเพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าตอนนี้เธอกำลังอ่อนแอมากแค่ไหน

“เงินแสนมันมีค่าต่อเธอมากเลยหรือไง” ชาวัตน์ก้มลงดึงแขนเธอให้ยืนขึ้น สบตากลมที่แวววาวไปด้วยหยาดน้ำ

“สำหรับคนรวยๆ อย่างคุณ เงินแสนคงไม่มีค่าอะไรมาก แต่สำหรับคนจนอย่างฉัน เงินแสนก้อนนี้มีค่าสุด”

เขาอึ้ง… อึ้งไปพักหนึ่งก็ผลักร่างบางออกห่าง แล้วเบือนหน้าหนี

“ไม่ต้องใช้คำพูดให้สวยหรูหรอก ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงเห็นแก่เงิน น่ารังเกียจสิ้นดี”

“น่ารังเกียจมากนักหรือไงคะ ฉันก็เป็นคนเหมือนกับคุณนะ” เธอโพล่งขึ้นมา ทั้งๆ ที่น้ำตายังคงไหลอย่างต่อเนื่อง

ชายหนุ่มเบนสายตากลับมามองหน้าเธออีกครั้ง พลางกระตุกยิ้มเครียดตรงมุมปาก

“ใช่ เป็นคนเหมือนกัน แต่ศักดิ์ศรีเธอมีน้อยกว่าใครหลายๆ คน”

“น้อยกว่าตรงที่ฉันก้มจูบเท้าคุณหรือไง”

“ไม่ใช่ แต่มันน้อยตรงที่ แทนที่จะใช้สมองหาเงิน ใช้แรงงานหาเงิน ใช้ความคิดหาเงิน แต่เธอกลับใช้เรือนร่างหาเงิน”

“ฉันจำเป็นต้องทำ” เธอบอกเสียงสะอื้น

“เหอะ…ผู้หญิงขายตัวส่วนใหญ่ก็อ้างความจำเป็นทั้งนั้นแหละ” เขาถอนหายใจ ทำท่าจะเดินกลับเข้ารั้ว แต่ต้องหยุดก้าวเดินเมื่อได้ยินเธอถาม

“ฉันยอมทำตามที่คุณท้าแล้ว ตกลงฉันอยู่ที่นี่ได้แล้วใช่ไหม”

ชาวัตน์ไม่หันกลับมามองเธอสักนิด ยามที่รับคำว่า

“อือ…อยู่ได้ ฉันไม่ผิดคำพูดหรอก”

พูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ขณะที่หญิงสาวพ่นลมหายใจออกทางปากยาวเหยียด…เอาเถอะ อย่างน้อยก็สำเร็จไปเรื่องหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็แค่หาวิธีรวบรัดให้เขายอมขึ้นเตียงด้วยเท่านั้น

นราพิมพ์ยกกระเป๋าใบโตจนตัวเอียงเข้าบ้าน ในใจก็นึกครุ่นคิดหาแผนการเพื่อให้ได้ครอบครองเงินสองแสนนั้น… แม้จะเป็นเพียงเงินเล็กน้อยสำหรับเศรษฐีอย่างชาวัตน์ แต่สำหรับเธอแล้ว เงินก้อนนั้นจะช่วยให้พ่อเธอเป็นอิสระได้ !

ห้องใต้บันไดขนาดเล็กที่เคยเป็นห้องเก็บของ ตอนนี้เป็นห้องพักชั่วคราวของนราพิมพ์ เธอรู้ว่าบ้านหลังนี้มีห้องว่างหลายห้อง แต่เขาคงมีเจตนาอยากแกล้งให้เธอกลับบ้านเร็วๆ ถึงได้ให้เธออยู่ห้องที่คับแคบและสกปรกเต็มไปด้วยฝุ่นละออง หยากไย่ขึ้นเป็นม่านขาว โชคดีที่เวลาเดินเข้าไปแล้วไม่มีหนูวิ่งผ่าน ไม่งั้นเธอคงได้ร้องกรี๊ดบ้านแตกแน่

หญิงสาวปัดกวาดเช็ดถูนานเกือบทั้งวันกว่าจะสะอาดเอี่ยม โดยเธอเอาของที่ยังใช้ได้ไปกองรวมกันชิดผนังด้านหนึ่ง เหลือพื้นที่ไม่มากนัก แค่พอปูเสื่อได้ เธอไม่นึกโกรธแค้นชาวัตน์หรอก เพราะแค่เขายอมให้เธออยู่ที่นี่ได้ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว

เสียงเคาะประตูดังรัวกระหน่ำตอนเวลาเกือบห้าโมงเย็น ทันทีที่เปิดประตูออกไป เธอก็พบเจ้าของบ้านหนุ่มยืนตีหน้าถมึงทึงมองเธออย่างไม่พอใจ

“ทำไมเปิดประตูช้า”

“ช้าตรงไหนกันคะ”

“ฉันเคาะจนมือแทบหงิก กว่าเธอจะมาเปิด”

“ประตูนะคะไม่ใช่กลอง ไม่เห็นต้องทุบแรงและเร็วขนาดนั้น”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ตาวาว เสียงสะบัด “อย่าเถียง”

“มีธุระอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าคะ หรือว่า…” หญิงสาวหลิ่วตา ดึงแขนเสื้อให้ลู่ลงจากไหล่ เผยอปากเล็กน้อยด้วยท่าทางที่คิดว่าเซ็กซี่ ถามว่า “คุณอยากได้ฉันเป็นเมียแล้วใช่ไหมคะ”

“อย่ามาทำปากเหมือนปลาดูดใส่ฉันแบบนั้น น่าเกลียดเป็นบ้า”

นราพิมพ์หุบปากแทบไม่ทัน ตาโตกระพริบปริบๆ อย่างคาดไม่ถึงว่าจะโดนเปรียบเทียบเหมือนปลาดูด

“แล้วมาเรียกฉันมีธุระอะไรละ”

“เดี๋ยวเพื่อนฉันจะมากินเหล้ากัน เธอไปทำกับแกล้มซะ”

“กินเหล้า ? คุณกินด้วยหรือคะ”

“นานๆ จะกินสักครั้ง ไปเตรียมกับแกล้มได้แล้ว”

“แต่…” หญิงสาวอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่เขาชิงขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าอยากอยู่บ้านนี้ต่อไป เธอก็ต้องอยู่ในสถานะคนรับใช้ ฉันสั่งอะไร เธอก็ต้องทำ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป