บทที่ 6 6

“แต่…” เธอตั้งท่าจะคัดค้าน แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเจอเขาตะคอกใส่

“เธอไม่มีสิทธิ์เถียง !”

“ค่ะ รับทราบเจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำกระแทกกระทั้น เข้าครัวไปโดยมีสายตาของเขามองตามจนลับ ภายในครัวมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน แต่เหมือนผู้เป็นเจ้าของจะไม่ค่อยได้แตะต้องเท่าไหร่นัก ในตู้เย็นก็มีแต่ไข่ น้ำ และเนื้อหมู คิดว่าวันๆ เขาคงกินแต่เมนูไข่ หรือมาม่าแน่นอน

เธอคงต้องขอยืมรถของเขาไปซื้อวัตถุดิบในการปรุงอาหารเพิ่มเติม…

ทว่าพอเดินออกจากครัว เธอก็ไม่เห็นเขาเสียแล้ว ไม่ว่าจะหากี่ห้องๆ ก็ไม่พบ จนมาถึงห้องหนึ่งซึ่งปิดประตูไว้ เธอลองผลักให้เปิดออก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเงยหน้าขึ้นจากเฟรมภาพพอดี

ทันทีที่ดวงตาประสานกัน ชายหนุ่มก็กระชากเสียงถาม

“เข้ามาทำไม ทำไมไม่เคาะประตูก่อน”

“ขะ ขอ ขอโทษค่ะ” เธอพูดตะกุกตะกัก รู้ตัวว่าผิดจริงที่ไม่ได้เคาะประตู

“ไม่มีมารยาท” เขาติติง สายตาหยามหยันมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ออกไปซะ”

“ฉันจะขอยืมรถค่ะ”

“เอาไปทำไม” ถามห้วนๆ

“ไปซื้อผักปลาที่ตลาดค่ะ ในตู้เย็นมีแต่ไข่กับเนื้อหมูที่ใกล้เน่า”

เขาเงียบไปชั่วอึดใจ ก็พูดขึ้นว่า

“ถ้าฉันให้เธอยืมรถ แล้วเธอขโมยรถฉันไปเลย ไม่ยอมเอามาคืนจะทำไง”

นราพิมพ์ตาค้างกับความคิดของเขา ก่อนจะอุทานว่า “คุณคิดได้อย่างไรกันคะ ฉันนี่นะจะขโมยรถของคุณ”

“คนสมัยนี้ ดูหน้าไม่รู้ใจ มีอะไรเหลือในตู้เย็นก็ทำแค่นั้นแหละ แต่ถ้าไม่อร่อย ฉันจะลงโทษเธอ”

คราวนี้หญิงสาวทั้งอ้าปากค้างและตาค้างพร้อมๆ กัน “มีแค่หมูกลิ่นตุๆ 1 ก้อน กับไข่ 3 ฟอง ถ้าทำกับข้าวออกมาไม่อร่อย ฉันก็จะโดนลงโทษ ?”

“ใช่”

“แกล้งกันชัดๆ”

“ฉันไม่ได้แกล้ง”

เธอมองแววตาเจ้าเล่ห์ของคนที่ยืนยันว่า‘ไม่ได้แกล้ง’แล้วนึกอยากตบสักฉาด คนอะไร ทำไมช่างยียวนกวนประสาทนัก นี่เธอต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับผู้ชายคนนี้อีกนานเลยอย่างนั้นหรือ ?

“ดูยังไงก็แกล้งกันชัดๆ”

“ถ้าเธอทนไม่ได้ก็ไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ซะสิ” เขาตวาด ลุกยืนประจันหน้าเธอ ดวงตาคู่คมเครียดขมึง ขณะที่ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้มเย้ยหยัน…

เธอเห็นแล้วถึงกับครางในอก… เขาหล่อราวเทพบุตร แต่รอยยิ้มไม่ต่างจากปิศาจร้าย

“แต่ฉันคิดว่าเธอคงไม่ยอมออกจากบ้านฉันแน่ๆ ตราบใดที่ยังไม่ได้ขายตัวให้ฉัน”

“ค่ะ ใช่ ฉันไม่มีวันไปจากชีวิตคุณ ตราบใดที่ยังไม่ได้เงินก้อนนั้น” หญิงสาวยืนกรานเสียงแข็ง แม้ใบหน้าจะร้อนวูบวาบ กระบอกตาร้อนผ่าว เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เธอรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าเหลือเกิน เธอต้องทนรับสภาวะจิตใจที่บอบช้ำเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่

“ผู้หญิงหน้าเงิน น่ารังเกียจ แค่คิดว่าจะต้องสัมผัสเนื้อตัวเธอที่เคยฟอนเฟะเพราะตกเป็นของชายอื่นมาแล้วมากมาย ฉันก็ขยะแขยงแล้วนราพิมพ์”

“คุณไม่มีสิทธิ์ว่าฉันแบบนี้” เธอตะคอก “คุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ยังซิงหรือไม่ซิง มันอยู่ที่ตรงนี้ค่ะ” เธอทุบอกตัวเองอย่างแรงจนหัวสั่นหัวคลอน “มันอยู่ที่ใจ”

“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อพ่อส่งเธอมาเป็นของขวัญให้ฉัน ของขวัญที่ซื้อได้ด้วยเงิน ในสายตาฉันก็มองว่าเป็นแค่สินค้าเท่านั้นแหละ แล้วมีปัญหาอะไรงั้นหรือที่ฉันจะวิจารณ์สินค้าอย่างเธอไม่ได้ แม้แต่รถหรือของใช้ ฉันยังนิยมของมือหนึ่ง ดังนั้นถ้าจะมีคู่นอนสักคน ฉันก็ต้องการนางบำเรอป้ายแดง ไม่ใช่ผู้หญิงมือสองอย่างเธอ !”

นราพิมพ์สะอึก วาจาเขาช่างร้ายกาจ สองมือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เธอก้มหน้าลงเพียงครู่เพื่อสะกดกลั้นหยดน้ำตาไม่ให้รินไหล ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างท้าทาย

“ฉันยังซิงค่ะ ไม่เชื่อก็ลองเปิดซิงฉันสิคะ แล้วคุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่คุณคิดว่าฉันเป็นน่ะมันถูกหรือผิด”

ชายหนุ่มจับคางเธอบีบแน่น แสยะยิ้มยามตอบไปว่า

“ผู้หญิงอย่างเธอไม่มีทางทำให้ฉันเกิดอารมณ์ทางเพศได้หรอกนราพิมพ์” พูดไปแล้วก็หัวเราะในลำคอ ปล่อยมือจากเธอแล้วสะบัดมือไล่ “ออกไปซะ แล้วอย่าเข้ามาในห้องทำงานของฉันอีก อ้อ…จะไปตลาดก็เชิญ แต่ใช้จักรยานไปนะ”

“ค่ะ” เธอรับคำ หมุนกายออกจากห้อง ทันทีที่พ้นสายตาเขา เธอก็ทิ้งตัวลงแล้วสะอื้นไห้จนไหล่สั่น มืออุดปากไว้แน่นเพื่อไม่ให้เสียงแห่งความเจ็บช้ำดังเล็ดลอดไปเข้าหูคนที่อยู่ในห้อง

พอ…หยุดเถอะ อย่าไหลอีกเลยนะน้ำตา อย่าทำตัวอ่อนแอมากไปกว่านี้เอง

ทนต่อไปอีกสักนิด วันไหนที่เธอเสียพรหมจรรย์ให้เขาแล้ว วันนั้นพ่อของเธอจะได้รับอิสรภาพ !

บทก่อนหน้า
บทถัดไป