บทที่ 7 7

ยามเมื่อท้องฟ้าฉาบไล้ด้วยสีส้มแสด หมู่นกบินกลับรวงรัง ไก่ขึ้นคอนนอนหลับ บ้านที่ทาสีฟ้าสดใส กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของบรรดาหนุ่มๆ ที่กำลังเมาได้ที่

ห้องโถงที่เคยโล่งกว้าง บัดนี้มีขวดเหล้าล้มกลิ้งระเนระนาด ผู้ชายสามคนรินแอลกอฮอล์ใส่แก้วจนเกือบเต็ม จิบไปพลาง คุยเล่นไปพลาง โดยมีนราพิมพ์คอยบริการเสิร์ฟกับแกล้มไม่ให้ขาด

พงษ์ทัต หนุ่มวัยเกือบสามสิบมักปรายตามองนราพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง ขณะที่สมรักษ์เองก็มักจะจ้องมองหน้าอกอวบและบั้นท้ายตึงแน่นของเธอทุกครั้งที่มีโอกาส

“เฮ้ย ! นายยังไม่ได้บอกฉันเลยนะชาย ว่าสาวสวยกุลสตรีคนนี้เป็นใคร” สมรักษ์กระซิบกระซาบถาม เมื่อหญิงสาวคล้อยหลังเข้าครัวไปแล้ว

“กุลสตรีเหรอ ?” ชาวัตน์เลิกคิ้วสูง หัวเราะในลำคออย่างหยามหยัน

“ทำไมนายทำเสียงแบบนั้นวะ ดูๆ แล้วสาวคนนั้นเป็นกุลสตรีจริงๆ นุ่งกระโปรงยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อยืดสีสุภาพ พูดจาไพเราะ วางตัวเหมาะสม ทำอาหารอร่อยจนเชฟยังอาย ที่สำคัญ…เธอสวยหวานละมุนละไมทั้งหน้าและกิริยาเลยว่ะ”

“จริงดิ ?” คราวนี้ชาวัตน์แทบกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ เพื่อนสองคนนี้ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ต่อหน้าคนอื่นเธอคือกุลสตรี ทว่าตอนอยู่กับเขาสองคน เธอก็เป็นผู้หญิงร่านสวาทที่ไม่มีความเป็นหญิงไทยหลงเหลือเลยแม้แต่น้อย

“จริงสิวะ ว่าแต่นายยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าเธอคือใคร ฉันเห็นนายมาอยู่ที่นี่ได้เป็นปี ไม่เคยพาสาวไหนมาร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย แต่วันนี้จู่ๆก็มีผู้หญิงคนนี้โผล่มา”

“เธอเป็น…” ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่เพื่อหาคำจำกัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ ก่อนจะคลี่ยิ้ม เมื่อตอบว่า “คนแก้เหงาของฉัน”

“เฮ้ย ! นางบำเรอเหรอวะ”  พงษ์ทัตเผลออุทานเสียงดัง ก่อนจะยกมือขึ้นอุดปากเมื่อเห็นนราพิมพ์เดินถือถาดอาหารเข้ามาพอดี หน้าเธอเปลี่ยนสีไปนิดหนึ่งบ่งชัดว่าเมื่อครู่นี้เธอได้ยินแล้ว ทว่านาทีต่อมา สีหน้าเธอก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง

“ผัดไก่ค่ะ” เธอคุกเข่า วางถ้วยผัดไก่ไปวางรวมกับถ้วยอื่นๆ ก่อนจะลุกยืน

“มาดื่มกับพวกเราสิ” สมรักษ์เอ่ยชวน ขณะที่เธออึกอัก ลังเล

“จะดีหรือ” ชาวัตน์มีสีหน้าไม่สบายใจนัก

“ดีสิ ในเมื่อเธอไม่ใช่เมียที่นายคิดจะจริงจังด้วย ก็แค่ผู้หญิงหากิน ดังนั้นคงไม่แปลกหากจะให้เธอมาช่วยแก้เหงาให้วงเหล้าของเราครึกครื้นมากยิ่งขึ้น”

“คือฉันกินเหล้าไม่เป็น” หญิงสาวพูดเสียงอ่อย

“กินเหล้าไม่เป็น ?” พงษ์ทัตทำหน้าประหลาดใจ ก่อนพ่นเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “โธ่ถัง ใครจะไปเชื่อกัน จะบอกอะไรให้นะ ผู้หญิงอาชีพอย่างเธอน่ะ กินเหล้าเก่งกว่าพวกฉันเสียอีก”

“ใช่ เธอเป็นโสเภณี จะมาปั้นหน้าอินโนเซ้นต์ คิดหรือว่าพวกเราจะเชื่อ” สมรักษ์รีบสำทับตามมา

“ฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ ฉันมีหน้าที่เอาใจคุณชายคนเดียวเท่านั้น ขอตัวก่อนนะคะ” เธอทำท่าจะหมุนกายเดินกลับ แต่ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำสั่ง

“มานั่งกินเหล้ากับพวกเราซะ”

หญิงสาวหันมาสบตากับชาวัตน์ ดวงตาฉายแววหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด

“คุณชายคะ คือฉันไม่…”

ไม่รอฟังเธอจนจบประโยค เขาก็ตะคอกลั่น

“ฉันสั่ง ไม่ได้ยินเหรอไง ในเมื่อเธอมีหน้าที่บริการฉัน ฉะนั้นฉันจะสั่งให้เธอทำยังไงก็ได้ นั่งลงเดี๋ยวนี้นราพิมพ์”

หญิงสาวกัดปากล่างจนแดงช้ำ ก่อนจำยอมทรุดลงนั่งพับเพียบ เหลือบตามองคนนั้นที คนนี้ทีแล้วก้มหน้ามองมือที่กำแน่นไว้บนต้นขา

“เอ้า ดื่มสิคนสวย” สมรักษ์ยื่นแก้วเหล้าให้ เธอมีทีท่าอึกอัก ไม่ยอมรับมา จึงโดนชาวัตน์ดุ

“ดื่มๆ ไปเถอะน่า จะทำสำออยไปทำไม”

“ค่ะ” เธอรับแก้วเย็นชืดมาถือไว้ หัวคิ้วย่นเข้าหากันตลอดเวลา “ฉันขอนั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ แต่ไม่กินเหล้าได้ไหมคะ”

“ดื่มหน่อยสิจ๊ะ เอาให้หมดแก้วเลย อยากเห็นตอนคนสวยเมา” พงษ์ทัตคะยั้นคะยอ

“แต่…”

“ดื่มๆไปเถอะน่า เหล้าแค่นี้ไม่ทำให้เธอตายหรอก” ชาวัตน์แทรกขึ้นอย่างหงุดหงิด

“ค่ะ ดื่มก็ดื่ม” หญิงสาวแข็งใจ ยกแก้วเหล้าเทลงคอรวดเดียวจนหมด…รสชาติแอลกอฮอล์บาดลึกจากลำคอ ร้อนวาบที่ท้อง ดวงตาเจิดจ้า วูบวาบไปทั้งร่าง

“สุดยอดๆ” สมรักษ์ปรบมือเปาะแปะ รินเหล้าใส่แก้วเพิ่ม “เอ้า อีกสักแก้วนะครับ”

“มะ ไม่ไหวแล้วค่ะ แค่แก้วเดียวก็มึนเต็มทีแล้ว”

“เอาน่า ดื่มอีกหน่อย” พงษ์ทัตเสริม พลางปรบมือรอท่า “เอาเลยคนสวย ยกดื่มรวดเดียวอย่างเมื่อกี้ให้พวกเราดูอีกสักทีสิ”

นราพิมพ์เหลือบตามองชาวัตน์ เห็นเขาเมินมองไปทางอื่นแล้วนึกขัดใจ…ได้ เขาอยากให้เธอดื่มมากนักใช่ไหม ถ้างั้นก็ได้เลย

เพราะอยากประชดชาวัตน์ เธอจึงดื่มหมดอีกแก้ว ท่ามกลางเสียงเฮลั่นของบรรดาหนุ่มๆ มีเพียงชาวัตน์คนเดียวเท่านั้นที่นั่งนิ่งเก๊กหน้าขรึม นานๆ ครั้งจะยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเล็กน้อย

ผลจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มสำแดง ดวงตาของหญิงสาวฉ่ำเยิ้ม กระเถิบกายเข้าใกล้สมรักษ์แล้วสวมกอดเขาเต็มๆ

สมรักษ์ยิ้มหน้าบาน แต่ชาวัตน์หน้าบึ้ง รีบดึงแขนเธอออกจากเพื่อนสนิท

“ยัยบ้า ทำอะไรของเธอวะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป